วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โครงการอสังหาขอนแก่น อุดร ระยอง ฟองสบู่เริ่มโผล่ลูกค้าทิ้งดาวน์ ยอดขายลดลง แข่งขันสูง

ฝ้าระวังฟองสบู่อสังหาฯ ในต่างจังหวัด ลูกค้าซื้อคอนโดเก็งกำไรแล้วทิ้งดาวน์ ผู้ประกอบการอสังหาฯบางรายยอมรับว่า ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณกำลังซื้อชะลอตัว เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกังวลภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงฟองสบู่อสังหาฯ ทำให้ตัดสินใจซื้อยากขึ้น ซึ่งต้องมีการปรับแผนเพื่อรับมือต่อไป
โครงการบ้านคอนโดต่างจังหวัดฟองสบู่โผล่ลูกค้าทิ้งดาวน์ ยอดขายลดลง


ขอนแก่นลูกค้าเริ่มทิ้งดาวน์คอนโด

zenith asset (ซีนิท แอสเสท) เจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ The House จ.ขอนแก่น
  • ตั้งแต่ช่วงต้นปีมีลูกค้าทิ้งดาวน์ประมาณ 20 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 4-5% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด
  • ได้มีมาตรการป้องกันกลุ่มนักเก็งกำไร โดยจำกัดการซื้อรายละไม่เกิน 2 ยูนิต
  • ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณกำลังซื้อคอนโดฯในต่างจังหวัดชะลอตัวลงการเปิดตัว
  • การขึ้นโครงการใหม่ ในอนาคตต้องรอดูสถานการณ์ก่อน

ปัจจัยหลักเกิดจาก 2 ส่วน

  • ผู้ซื้อคอนโดกังวลกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน และความเสี่ยงเกิดฟองสบู่อสังหาฯ
  • โครงการคอนโดฯเปิดใหม่ออกมามากขึ้น การแข่งขันสูง ทำให้ยอดขายแต่ละโครงการเริ่มช้าลง คอนโดที่ยังไม่ได้ขายกว่า 6-7 พันยูนิต


อสังหาอุดรธานี การแข่งขันสูง

Pavillean Property เจ้าของโครงการบ้านหรรษา จ.อุดรธานี
  • ได้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น จะต้องชะลอการสร้างบ้าน
  • ปัจจัยเกิดจากลูกค้ากังวลสถานการณ์เศรษฐกิจ ทำให้กำลังซื้อบ้านเริ่มชะลอตัว
  • การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการโครงการบ้านจัดสรรสูงขึ้น
  • โครงการมียอดขายบ้าน ที่ซื้อบ้านไว้อยู่อาศัยของชาวต่างชาติมีจำนวนลดลงไป 40-50% ส่วนลูกค้าคนไทยก็ลดลง 20%

สถาบันการเงินเข้มงวดเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ

สถาบันการเงินเข้มงวดเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ หรืออนุมัติแต่ให้วงเงินลดลง ทำให้ลูกค้าที่ใช้เงินกู้ซื้อบ้านได้ยากขึ้น การลงทุนอสังหาฯตอนนี้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายกลาง-รายเล็กที่สายป่านไม่ยาวพอก็ต้องระมัดระวัง เพราะไม่ได้ขายดีเหมือนปีที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการใหม่ก็คงรอดูสภานะการณ์อีก 1-2 ปี

ระยองยอดขายลดลง ปรับแผนเร่งปิดการขายยืดดาวน์

เดลิเซีย เจ้าของโครงการวิสดอม แกรนด์-ดิออส คอนโด (Wisdom Grandiose Condo) จ.ระยอง
  • ความกังวลของผู้บริโภคเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน
  • การแข่งขันที่สูงขึ้นในพื้นที่ระยอง
  • เริ่มมียอดขายช้าลง เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ใช้เวลาปิดการขายนานขึ้น


ปรับแผนเพื่อเร่งปิดการขายให้เร็วที่สุด

  • เริ่มจากขยายเวลาผ่อนเงินดาวน์นานขึ้น จากเดิม 18 เดือนเป็น 24 เดือน เพื่อให้มีภาระเงินผ่อนต่องวดลดลง
  • ควบคู่กับเตรียมเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่
  • เร่งเจรจาขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อนำเงินมาใช้ก่อสร้างโครงการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
  • คอนโดฯสร้างเสร็จ แต่ยังทำยอดขายได้ไม่ถึง 75% จะใช้วิธีตั้งบริษัทขึ้นมาอีก 1  บริษัทเพื่อรับซื้อคอนโดฯ ส่วนที่เหลือมาปล่อยเช่า

จะเห็นได้ว่าเริ่มมีสัญญาณฟองสบู่อสังหาในโครงการต่างจังหวัดที่เริ่มมีการทิ้งดาวน์โครงการ และกำลังซื้อลดลง หรือตัดสินใจซื้อยากขึ้น เนื่องจาก กังวัลเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน การแข่งขันในพื้นที่สูงขึ้น การเข้มงวดด้านการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ซึ่งโครงการต่างๆได้ออกมาตรการรับมือโดยมีการเร่งปิดการขายให้เร็วขึ้น ยืดระยะเว็บผ่อนดาวน์ มีโปรโมชั่นแจกแถม และชละการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อดูสถานะการณ์

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โครงการทาวน์โฮม ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์ Living Residence Rangsit - Ratchaphruek ทาวน์โฮมรังสิต-ราชพฤกษ์ เริ่มต้นที่ 2.99 ล้าน

โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์
ที่อยู่โครงการ: ตั้งอยู่บนถนนเลียบคลองรังสิต ตำบลบางพูน ปทุมธานี
ประเภท : ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้างพิเศษ 5.5 เมตร
พื้นที่ดิน : 22 - 53 ตรว.
พื้นที่ใช้สอย : 200 - 206 ตรม.
จำนวน: 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น และห้องแม่บ้าน
ที่จอดรถ: 2 คัน

ราคาเริ่มต้น : เริ่ม 2.99 ล้านบาท

เจ้าของโครงการ : บริษัท บางกอก พร็อพเพอร์ตี้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
ติดต่อโครงการ : 029587870
โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

โครงการลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์ เป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น ออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัวคุ้มค่า เน้นโปร่งโล่งสบายเปิดรับธรรมชาติ เหมือนอยู่บ้านเดี่ยว สำหรับผู้ที่ชอบความสะดวกสบายกับวันพักผ่อน ที่นี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์สุดหรูบรรยากาศรีสอร์ท สวนกว้างขวางรื่มรื่น พื้นที่พักผ่อนและต้อนรับแขก พร้อมทั้งสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และฟิตเนส

การเดินทางสะดวกสบาย เดินทางได้หลายเส้นทาง ได้แก่ สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงกำลังก่อสร้าง ศูนย์การค้า ฟิวเจอร์พาร์ค-รังสิต, เทสโก้โลตัส, แมคโคร, โฮมโปร, บิ๊กซี มหาวิทยาลัยหลายแห่ง


จุดเด่นของโครงการ

  • บ้านทันสมัย ออกแบบภายใน ห้องนอน ห้องรับแขกขนาดใหญ่โปร่ง โล่ง สบาย อากาศถ่ายเทได้ดี
  • พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านถูกออกแบบมาอย่างลงตัว เปิดรับลมธรรมชาติทำให้บ้านไม่ร้อน ร่มรื่นน่าอยู่
  • การเดินทางทางสะดวกสบาย เข้าออกได้หลายเส้นทาง ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์การค้า มหาวิทยาลัย และรถไฟฟ้าสายสีแดงที่กำลังสร้าง

ภาพตัวอย่างโครงการ

ห้องรับแขก-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

ห้องรับแขก-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

ห้องรับแขก-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์


ห้องนอน-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

ห้องรับแขก-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

ห้องรับแขก-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

ห้องครัว-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

ห้องนอน-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

ห้องนอน-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

แผนที่โครงการ

แผนที่-โครงการ ลิฟวิ่ง เรสซิเดนซ์ รังสิต-ราชพฤกษ์

วันอังคารที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2556

17 เมืองใหม่รอบแนวรถไฟฟ้าความเร็วสูง 4 สายทาง

รัฐบาลมีแผนสร้างเมืองใหม่รอบแนวรถไฟฟ้าความเร็วสูง 4 สายทาง ได้แก่ สายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก, สายกรุงเทพฯ-โคราช, สายกรุงเทพ-พัทยา-ระยอง, สายกรุงเทพฯ-หัวหิน 17 สถานี แผนแบ่งโซนที่อยู่อาศัย และโซนพาณิชยกรรม ทุนก่อสร้างและเวนคืนกว่า 100,000 ล้าน ได้แก่
17 เมืองใหม่รอบแนงรถไปฟ้าความเร็วสูง

สายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก

  1. อยุธยา ขนาดพื้นที่ 5,000 ไร่ มีพื้นที่ 4 ทางเลือก คือ สถานีชุมทางบ้านภาชี สถานีรถไฟอยุธยาเดิม สถานีบ้านม้า และห่างจากสถานีเดิมไปทางด้านใต้ 2 กิโลเมตร
  2. ลพบุรี ขนาดพื้นที่ 5,000 ไร่ มีพื้นที่ 3 ทางเลือกคือ สถานีรถไฟลพบุรีเดิม หรือห่างจากสถานีเดิมลงมาทางใต้และทางเหนือในรัศมี 5 กิโลเมตร
  3. นครสวรรค์ ขนาดพื้นที่ 5,000 ไร่ มีพื้นที่ 3 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟนครสวรรค์เดิม ห่างจากสถานีเดิมลงมาทางทิศใต้ 3 กิโลเมตร กับห่างจากสถานีรถไฟเดิมขึ้นไปด้านทิศตะวันตก 2 กิโลเมตร
  4. พิจิตร ขนาดพื้นที่ 5,000 ไร่ เป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ห่างจากสถานีเดิมไปทางด้านขวามือประมาณ 2 กิโลเมตร
  5. พิษณุโลก ขนาดพื้นที่ 5,000 ไร่


สายกรุงเทพฯ-โคราช

  1. สระบุรี มี 2 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟสระบุรีเดิม พื้นที่ 1,200 ไร่ หรือห่างจากสถานีเดิมไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 4 กิโลเมตร บนถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตรงข้ามกับศูนย์การค้าโรบินสันที่กำลังก่อสร้าง พื้นที่ 3,000 ไร่
  2. สถานีปากช่อง พื้นที่ประมาณ 3,000 ไร่เศษ มี 2 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟปากช่องเดิม กับห่างจากสถานีเดิมขึ้นไปทางทิศเหนือ 5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่ดินของกรมธนารักษ์ ปัจจุบันใช้ประโยชน์เป็นที่ตั้งของกรมพลาธิการทหารบก
  3. นครราชสีมา มีพื้นที่ 3 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟนครราชสีมาเดิม ขนาดพื้นที่ 7,000 ไร่ หรือห่างจากสถานีเดิมไปทางทิศตะวันตก 6 กิโลเมตรที่สถานีภูเขาลาด พื้นที่ 3,000 ไร่ และสถานีชุมทางบ้านจิระ พื้นที่ 3,000 ไร่

สายกรุงเทพฯ-หัวหิน

  1. นครปฐม ขนาดพื้นที่ 3,000-4,000 ไร่ มี 3 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟนครปฐมเดิม หรือห่างจากสถานีเดิมไปด้านตะวันตก 3 กิโลเมตร และจากสถานีไปทิศตะวันออก 8 กิโลเมตร
  2. ราชบุรี มีพื้นที่ 2 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟราชบุรีเดิม ขนาดพื้นที่ 700 ไร่ กับพื้นที่ใหม่ห่างจากสถานีเดิมลงมาด้านใต้ 3 กิโลเมตร ขนาดพื้นที่ 3,000 ไร่
  3. เพชรบุรี มีทางเลือกเดียว ขนาดพื้นที่ 3,000-4,000 ไร่ อยู่ห่างจากในเมืองไปทางด้านเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร
  4. สถานี หัวหิน มีพื้นที่ 3 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟหัวหินเดิม พื้นที่ 2,000 ไร่ หรือห่างจากสถานีเดิมขึ้นไปด้านเหนือ มุ่งหน้า อ.ชะอำ ประมาณ 6 กิโลเมตร พื้นที่ 4,000 ไร่ กับบริเวณสถานีห้วยทรายใต้ พื้นที่ 5,000 ไร่


สายกรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง

  1. ฉะเชิงเทรา สถานีรถไฟเดิมขนาดพื้นที่ 2,500 ไร่
  2. ชลบุรี ที่สถานีรถไฟเดิม ขนาดพื้นที่ 3,000-4,000 ไร่
  3. อำเภอ ศรีราชา มีพื้นที่ 2 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟศรีราชาเดิม ขนาดพื้นที่ 400 ไร่ กับห่างจากสถานีเดิมลงมาทางใต้ 3-4 กิโลเมตร ขนาดพื้นที่ 7,000 ไร่
  4. เมืองพัทยา ขนาดพื้นที่ 5,000-6,000 ไร่ มีพื้นที่ 3 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟพัทยาเดิม พื้นที่ 5,000 ไร่ หรือห่างจากสถานีเดิม 5 กิโลเมตรขึ้นไปทางเหนือ และห่างจากสถานีเดิม 8 กิโลเมตร ลงมาด้านใต้
  5. ระยอง ขนาดพื้นที่ 4,000-5,000 ไร่ มีพื้นที่ 2 ทางเลือก คือ สถานีรถไฟมาบตาพุด กับห่างจากสถานีรถไฟมาบตาพุดขึ้นไปทางเหนือ 8 กิโลเมตร มาทางตัวเมืองระยอง

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจเริ่มชะลอ-สัญญาณฟองสบู่ ชะลอขึ้นโครงการใหม่

ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศครึ่งปีหลัง 2556 กำลังอยู่ในช่วงขาลง รวมทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ถึงแม้กำลังซื้อจะฟื้นตัวต่อเนื่อง เริ่มมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง มีการออกมาเตือนจากนายกสมาคมอาคารชุดไทย แนะนำผู้ประกอบการควรเตรียมตัวรับความเสี่ยงไว้ตลอด  ดังนั้นผู้ประกอบการอสังหาฯวางแผนรับมือความเสี่ยงธุรกิจชะลอตัว ทำให้เจ้าของโครงการคอนโดต่างๆ เริ่มมีการชะลอ และเลื่อนเวลาการเปิดตัวโครงการออกไป
อสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัว

สาเหตุยอดขายอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัว

  • การปรับลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจ
  • หนี้ภาคครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น
  • เงินเฟ้อปรับขึ้น
  • รัฐบาลปรับลดประมาณการ GDP ปี
  • ช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงฤดูฝน

กานดา พร็อพเพอร์ตี้เลื่อนเปิดคอนโดฯ 3 โครงการ

จากเดิมวางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ ทำเลพระราม 7 กัลปพฤกษ์ และภูเก็ต มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท ได้ปรับแผนเลื่อนเปิดตัวโครงการไปเป็นปี 2557
เนื่องจากต้องการรอสิ่งอำนวยความสะดวก และการลงทุนโครงข่ายคมนาคมภาครัฐ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจผันผวนก็มีผลต่อการตัดสินใจ เพื่อรอดูว่าจะมีผลกระทบต่อกำลังซื้อในตลาดคอนโดฯหรือไม่

เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ปฏิเสธซื้อที่ดิน 2 แปลงสำหรับพัฒนาคอนโดฯ

ปฏิเสธการซื้อที่ดิน 2 แปลงสำหรับพัฒนาคอนโดฯ มูลค่าซื้อขายรวม 500 ล้านบาท เพราะต้องการเก็บเงินสดไว้ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้เริ่มผันผวน อัตราหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าภาคอสังหาฯจะชะลอตัว
ในปีหน้าบริษัทคงพัฒนาโครงการที่มีจำนวนลดลง และกระจายไซต์โครงการให้มากขึ้นเพื่อช่วยลดความเสี่ยง

แสนสิริปรับเป้ายอดขายบ้านจัดสรร ทาว์นเฮ้าส์ลง 1,000 ล้านบาท

ปรับเป้ายอดขายโครงการบ้านจัดสรรทั้งปีลง 1,000 ล้านบาท จากเดิม 18,000 ล้านบาท เหลือ 17,000 ล้านบาท เนื่องจากการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการล่าช้ากว่าแผน และมีที่ดินบางแปลงติดปัญหาการเข้าพื้นที่ จึงมีแนวโน้มว่าการเปิดตัวโครงการแนวราบทั้งปีจะไม่ถึง 21 โครงการตามแผนเดิม

นายกสมาคมคอนโดไทยแนะนำผู้ประกอบการควรเตรียมตัวรับความเสี่ยงไว้ตลอด

ภาคอสังหาริมทรัพย์ อาจจะมียอดขายช่วงนี้ชะลอตัวลงบ้าง ครึ่งปีหลังตรงกับฤดูฝน รวมทั้งรัฐบาลปรับลดประมาณการจีดีพีปี ผู้ประกอบการอาจต้องทบทวนแผนธุรกิจ ผู้ประกอบการควรเผื่อความเสี่ยงไว้ตลอด ไม่กู้เกินตัว แบ่งเฟสพัฒนาโครงการ ถ้ายอดขายเริ่มชะลอก็สร้างบ้านให้ช้าลง"

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผังเมืองใหม่กรุงเทพฯ ประกาศใช้แล้ว เปลี่ยนสีเน้นการใช้ที่ดิน

สำนักผังเมืองกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองต่างจังหวัดและกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556 ได้ประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2556 มีผู้สนใจดูข้อมูลที่ศูนย์บริการข้อมูลฯในกรุงเทพแล้ว 550 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคล ของผู้ประกอบการโครงการต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รองลงมาเป็นประชาชนทั่วไป และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และยังมีผู้สนใจโทรศัพท์เข้ามาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผังเมืองรวมฉบับใหม่

ผังเมืองใหม่กรุงเทพฯ ประกาศใช้แล้ว เปลี่ยนสีเน้นการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ผังเมืองใหม่กรุงเทพฯ ประกาศใช้แล้ว เปลี่ยนสีเน้นการใช้ประโยชน์ที่ดิน

ข้อมูลที่สอบถามมากที่สุด คือ การเปลี่ยนพื้นที่โซนสีเน้นการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เปลี่ยนแปลงไปจากผังเมืองรวมฉบับเดิม

เรื่องตำแหน่งแปลงที่ดินว่าอยู่ในโซนการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทใดและมีข้อกำหนดอย่างไรบ้าง
 การเวนคืนตามแนวถนนโครงการสายต่าง ๆ ที่ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครกำหนด
เงื่อนไขแปลงที่ดินติดถนนที่มีเขตทางระยะต่าง ๆ
เงื่อนไขของแปลงที่ดินที่มีระยะที่ห่างจากรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน FAR Bonus ประเภทต่าง ๆ ที่เป็นการเพิ่มมาตรการสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของที่ดินหรือผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างอาคาร
การจัดให้มีที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้อยู่อาศัยเดิมในพื้นที่โครงการ
อาคารประหยัดพลังงาน รวมถึงเรื่องข้อกำหนดเกี่ยวกับพื้นที่น้ำซึมผ่าน 50% ของ OSR จะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร
ซึ่งสำนักผังเมืองให้บริการตอบข้อซักถาม และให้คำแนะนำต่าง ๆ ให้กับผู้สนใจในทุกประเด็น และมีการแจกแผ่นพับประชาสัมพันธ์ให้กับผู้เข้ามาติดต่อประมาณ 5,000 ใบ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 0-2354-1275-77 และ 0-2354-1286-88 ในวันและเวลาราชการ พร้อมทั้งตรวจสอบผ่านทางเว็บไซต์สำนักผังเมือง ที่ http://cpd.bangkok.go.th

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

21 โครงการคอนโดที่ราคาแพงที่สุดในกรุงเทพและปริมณฑล

ผลการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย พบราคาคอนโดที่แพงที่สุด 21 อันดับแรกในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งทั้งหมดอยู่ในเขตใจกลางเมือง ย่านเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
โครงการเดอะริทซ์-คาร์ตัน เรสซิเดนเซส-The Ritz Carlton Residence บางกอก ถนนนราธิวาสราชนครินทร์

1.โครงการเดอะริทซ์-คาร์ตัน เรสซิเดนเซส-The Ritz Carlton Residence บางกอก ถนนนราธิวาสราชนครินทร์

  • ราคาห้องละ 222 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 302,452 บาท
โครงการ เดอะ ริเวอร์-The River Charoen Nakorn Road ซอยเจริญนคร 13 ถนนเจริญนคร

2.โครงการ เดอะ ริเวอร์-The River Charoen Nakorn Road ซอยเจริญนคร 13 ถนนเจริญนคร

  • ราคาห้องละ 170.6 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 289,153 บาท
โครงการMy Resort River Soi Charan Sanit Wong 72 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 72 ถนนจรัญสนิทวงศ์

3.โครงการMy Resort River Soi Charan Sanit Wong 72 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 72 ถนนจรัญสนิทวงศ์

  • ราคาห้องละ 119 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 151,786 บาท
โครงการMy Resort River Soi Charan Sanit Wong 72 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 72 ถนนจรัญสนิทวงศ์

4.โครงการ คิว หลังสวน Q. Langsuan ซอยหลังสวน ถนนสุขุมวิท

  • ราคาห้องละ 109.309 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 213,640 บาท
โครงการ Circle sukhumvit 11 ถนนสุขุมวิท 11

5.โครงการ Circle sukhumvit 11 ถนนสุขุมวิท 11

  • ราคาห้องละ 76.828 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 198, 604 บาท
โครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด The Magnolia Boulevard and Ratchadamri ถนนราชดำริ

6.โครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด The Magnolia Boulevard and Ratchadamri ถนนราชดำริ

  • ราคาห้องละ 69 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 276,000 บาท
โครงการ The Pano panoramic river view ถนนพระราม 3

7.โครงการ The Pano panoramic river view ถนนพระราม 3

  • ราคาห้องละ 63.558 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 97,700 บาท
โครงการ ดิ อิสสระ ลาดพร้าว The Issara Ladprao ซอย12-14 ถนนลาดพร้าว

8.โครงการ ดิ อิสสระ ลาดพร้าว The Issara Ladprao ซอย12-14 ถนนลาดพร้าว

  • ราคาห้องละ 61.53 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 109,875 บาท
โครงการ แกรเลอรี่ รู เดอร์ 39 Galerie rue de 39 ซอยสุขุมวิท 39 ถนนสุขุมวิท

9.โครงการ แกรเลอรี่ รู เดอร์ 39 Galerie rue de 39 ซอยสุขุมวิท 39 ถนนสุขุมวิท

  • ราคาห้องละ 48.384 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 302,400 บาท
โครงการ Royce ซอยสุขุมวิท 31 ถนนสุขุมวิท

10.โครงการ Royce ซอยสุขุมวิท 31 ถนนสุขุมวิท

  • ราคาห้องละ 43.068 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 170,905 บาท
โครงการ แม่น้ำ เรสซิเดนท์ Residences-River ถนนเจริญกรุง

11.โครงการ แม่น้ำ เรสซิเดนท์ Residences-River ถนนเจริญกรุง

  • ราคาห้องละ 39.818 ล้านบาท 
  • ตารางเมตรละ 151,977 บาท
โครงการ Banyan Tree Residences ถนนสาทรใต้

12.โครงการ Banyan Tree Residences ถนนสาทรใต้

  • ราคาห้องละ 37.9 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 318,487 บาท
โครงการ Millennium Residence @ Sukhumvit ซอยสุขุมวิท 16 (แยกสามมิตร) ถนนสุขุมวิท

13.โครงการ Millennium Residence @ Sukhumvit ซอยสุขุมวิท 16 (แยกสามมิตร) ถนนสุขุมวิท

  • ราคาห้องละ 37 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 143,411 บาท
โครงการ Quattro ซอยทองหล่อ 4 ถนนสุขุมวิท 55

14.โครงการ Quattro ซอยทองหล่อ 4 ถนนสุขุมวิท 55

  • ราคาห้องละ 36.017 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 213,751 บาท
โครงการ นอร์ธปาร์ค เพลส North Park Place ซอยชิดชน ถนนวิภาวดีรังสิต

15.โครงการ นอร์ธปาร์ค เพลส North Park Place ซอยชิดชน ถนนวิภาวดีรังสิต

  • ราคาห้องละ 33.6 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 97,110 บาท
โครงการ เดอะ สาธุ เรสซิเดนเซส ถนนพระราม 3 The Sathu Residences Praram 3

16.โครงการ เดอะ สาธุ เรสซิเดนเซส ถนนพระราม 3 The Sathu Residences Praram 3

  • ราคาห้องละ 32.4 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 120,000 บาท
โครงการ วิลล่า อโศก ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ – The Villa Asoke on Petchburi Road

17.โครงการ วิลล่า อโศก ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ – The Villa Asoke on Petchburi Road

  • ราคาห้องละ 32.2 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 109,898 บาท
โครงการ เอ็ม สีลม M Silom ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 2 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์

18.โครงการ เอ็ม สีลม M Silom ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 2 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์

  • ราคาห้องละ 32 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 192,771 บาท
โครงการ เอ็ม สีลม M Silom ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 2 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์

19.โครงการ เซอร์เคิล 2 Circle Living Prototype ซอยเพชรบุรี 39 ถนนเพชรบุรี

  • ราคาห้องละ 30 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 153,846 บาท
โครงการ เอช สุขุมวิท 43 H Sukhumvit 43 ซอยสุขุมวิท 43 ถนนสุขุมวิท

20.โครงการ เอช สุขุมวิท 43 H Sukhumvit 43 ซอยสุขุมวิท 43 ถนนสุขุมวิท

  • ราคาห้องละ 30 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 154,839 บาท
โครงการ โนเบิ้ล เพลินจิต ถนนเพลินจิต Noble Ploenchit

21.โครงการ โนเบิ้ล เพลินจิต ถนนเพลินจิต Noble Ploenchit

  • ราคาห้องละ 30.000 ล้านบาท
  • ตารางเมตรละ 176,471 บาท

คอนโดที่มีราคาแพงที่สุดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งทั้งหมดอยู่ในเขตใจกลางเมือง ย่านเศรษฐกิจ ราคาแพงที่สุดคือห้องละ 222 ล้านบาทคือ โครงการเดอะริทซ์-คาร์ตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ส่วนราคาต่อตารางเมตรที่แพงที่สุดคือ ตารางเมตรละ 318,487 บาท โครงการ Bayan Tree Residences ถนนสาทรใต้

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเคหะฯ จัด มหกรรมที่อยู่อาศัย เริ่มต้น 3.9 แสนบาท


           การเคหะแห่งชาติ ฉลองครบรอบ 40 ปี จัดมหกรรมขายที่อยู่อาศัย 92 โครงการ ราคาเริ่มต้น 3.9 แสนบาท

           เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา นางอำภา รุ่งปิติ รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (รักษาการแทนผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี การเคหะแห่งชาติ ได้มีการจัดงานมหกรรมขายที่อยู่อาศัย "40 ปี การเคหะแห่งชาติ คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะฯ" ขึ้นในวันที่ 22-31 มีนาคม 2556 เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัย ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง

           โดยมีจำนวน 92 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเอื้ออาทร 17,652 หน่วย และ โครงการเคหะชุมชน 1,890 หน่วย ราคาเริ่มต้นที่ 390,000 บาท วางเงินจองทำสัญญา 3,000 บาท ผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ซึ่งธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เสนอโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ ปีที่ 1-2 = 4.00% ต่อปี ปีที่ 3 ตลอดอายุสัญญา = MRR-0.50% ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้

           ส่วนธนาคารออมสิน เสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3 ปี โดยปีที่ 1-3 = 4.00% ต่อปี หลังจากนั้น MLR-0.50% ต่อปี ตลอดสัญญา สำหรับลูกค้าที่ยื่นความจำนงขอใช้บริการระหว่างวันที่ 22-31 มีนาคม และจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2556

           สำหรับคุณสมบัติของผู้จองบ้านในโครงการบ้านเอื้ออาทร ต้องมีสัญชาติไทย รายได้ในครอบครัวไม่เกิน 40,000 บาท พร้อมนำเอกสารติดต่อได้ที่สำนักงานเคหะชุมชนและสถานที่ตั้งโครงการทุกแห่งทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nha.co.th

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กคช.ตัดขายที่ดินบ้านเอื้อฯ 450 ไร่ เสริมรายได้





การเคหะฯ ขนที่ดินเปล่า-ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จาก 11 โครงการบ้านเอื้ออาทรในพื้นที่ปริมณฑล และภูมิภาค รวม 12 แปลง พื้นที่กว่า 450 ไร่ ออกเร่ขายเอกชน หลังทิ้งร้างไม่ได้นำมาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย หลังถูก ครม.สั่งลดจำนวนการก่อสร้างบ้านเอื้อฯ
       
       นางประจำศรี บุณยเนตร รองผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการ รักษาการแทนผู้อำนวยการกองสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า ที่ประชุมผู้บริหารระดับสูง กคช. มีมติเห็นชอบแผนการขายที่ดินมากกว่า 5 ไร่ ตามแผนการขายที่ดิน และแผนสำรองการขายที่ดินปี 2556 โดย กคช. เตรียมนำที่ดินแปลงว่าง และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 12 แปลง รวม 450 ไร่ ทั้งในพื้นที่ปริมณฑล และภูมิภาคออกขาย ด้วยวิธีเปิดรับข้อเสนอซื้อจากบริษัทเอกชน และบุคคลทั่วไป ประกอบด้วย ที่ดินเปล่า ของโครงการบ้านเอื้ออาทรขอนแก่น (บ้านไผ่) เนื้อที่ดิน 60-3-85 ไร่ จังหวัดขอนแก่น ที่ดินในเปล่าโครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (ดอยสะเก็ด) เนื้อที่ดิน 30-1-69 ไร่ โดยที่ดินทั้ง 2 แปลง จะเปิดให้เอกชนยื่น และเปิดซองเสนอราคาในวันที่ 12 กรกฎาคม 2556
       
       นอกจากนี้ ยังมีที่ดินเปล่าในโครงการบ้านเอื้ออาทรกาญจนบุรี เนื้อที่ดิน 31-3-67.7 ไร่ และที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรกาญจนบุรี เนื้อที่ดิน 35-0-0 ไร่ ซึ่งที่ 2 แปลง ตั้งอยู่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยจะเปิดให้ยื่นและเปิดซองเสนอราคา ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2556
       
       ส่วนที่ดินพร้อมอาคารสูง ในโครการบางพลีคอมเพล็กซ์ เนื้อที่ดิน 26-0-45 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ที่ดินเปล่าโครงการเคหะชุมชนนราธิวาส จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ดิน 5-1-50.1 ไร่ และเนื้อที่ดิน 6-1-24.90 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลโคกเคียน-บางนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส จะเปิดให้ยื่นและเปิดซองเสนอราคา ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
       
       นางประจำศรี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้เตรียมนำที่ดินเปล่าของโครงการบ้านเอื้ออาทรตราด (วังกระแจะ) เนื้อที่ดิน 56-1-97.9 ไร่ ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด และที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรนครสวรรค์ 2 เนื้อที่ดิน 6-3-2 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมืองนครสวรรค์ ที่ดินเปล่าของโครงการบ้านเอื้ออาทรระยอง (ตะพง) เนื้อที่ดิน 40-0-32 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลตะพง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ที่ดินเปล่าโครงการบ้านเอื้ออาทรระยอง (บ้านฉาง 2) เนื้อที่ดิน 32-2-86.7 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง และที่ดินเปล่าโครงการบ้านเอื้ออาทรนครปฐม (บางแขม) เนื้อที่ดิน 120-2-53 ไร่ ที่ดินตั้งอยู่ตำบลบางแขม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ออกมาเปิดให้ประมูลโดยจะเปิดให้เอกชนยื่นและเปิดซองเสนอราคา ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
       
       ทั้งนี้ สำหรับบริษัทเอกชน หรือบุคคลใดที่มีความสนใจต้องการเข้าร่วมประมูลซื้อที่ดินในข้างต้นสามารถขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับเอกสารการยื่นข้อเสนอซื้อที่ดิน/ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ได้ที่ กองพัฒนาธุรกิจและสินทรัพย์ ฝ่ายบริหารสินทรัพย์และอาคารเช่า อาคาร 1 ชั้น 5 สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การสร้างเมืองใหม่ ยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของจีน ส่งอิทธิพลต่อโลกในศตวรรษที่ 21









เมื่อไม่นานมานี้ Joseph Stiglitz  นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อโลกในศตวรรษที่  21 คือ การสร้างเมืองใหม่ของจีน และการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในสหรัฐอเมริกา

เมื่อจีนตัดสินใจเปิดประเทศก้าวสู่โลกาภิวัตน์ นักลงทุนจากนานาประเทศต่างหลั่งไหลเข้าไปลงทุนจนมีคำกล่าวว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่จีน”  ส่งผลให้จีนมีสภาพเป็นดั่งโรงงานของโลกเศรษฐกิจติดปีกทะยานจนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก

ปัจจุบันวงล้อเศรษฐกิจของจีนเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป จีนจึงไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเหมือนเช่นที่ผ่านมามังกรที่ยิ่งใหญ่อย่างจีนจึงต้องวางแผนเปลี่ยนโฉมรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ  ซึ่ง 1 ในยุทธศาสตร์สำคัญคือ การสร้างเมืองใหม่ โดยถือเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่สำคัญแห่งทศวรรษของจีน

การสร้างเมืองใหม่ของจีนมีความสำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนหลายร้อยล้านคน การสร้างเมืองในรูปแบบใหม่ คือ การผลักดันการพัฒนาความเป็นเมืองอย่างมั่นคง เพื่อยกระดับคุณภาพของความเป็นเมือง ลดช่องว่างระหว่างคนในชนบทและคนเมือง ที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือการสร้างเมืองใหม่จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดการกระตุ้นอำนาจซื้อภายในประเทศ การจ้างงาน เกิดอุปสงค์ และนำมาซึ่งธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านการค้า อสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรรม การท่องเที่ยว เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ ซึ่งจะเป็นพลังผลักดันให้เศรษฐกิจจีนทะยานไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนนับจากนี้เป็นต้นไป

นอกจากนี้จีนถือว่าการสร้างเมืองใหม่ยังเป็นเรื่องของการประกาศความยิ่งใหญ่ของจีนต่อชาวโลก ดังตัวอย่าง การสร้างเมือง “ผู่ตง” สะท้อนถึงปรัชญาของ “เหมา เจ๋อตุง” ที่ว่า “ลมตะวันออกสามารถเอาชนะลมตะวันตก” ทำให้นานาประเทศเห็นว่า แม้แต่เมืองแมนฮัตตันที่ว่าโด่งดัง ก็ยังสู้ “ผู่ตง” ของมังกรจีนไม่ได้ เพราะจีนได้สร้างผู่ตง (Pu Dong) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่ ของนครเซี่ยงไฮ้ ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและธุรกิจของเซี่ยงไฮ้และจีน ซึ่งเดิมทีพื้นที่บริเวณนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวนา  โกดังเก็บสินค้า แต่รัฐบาลจีนใช้เวลาไม่ถึง 20 ปีในการเนรมิตให้กลายเป็นเมืองใหม่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจีนระดมทรัพยากรจากทั่วโลก  เชิญชวนวิศวกร สถาปนิกชั้นนำของโลกมาช่วยกันสร้างสรรค์ออกแบบอาคารสูงในสไตล์ใหม่ ๆ  ที่แตกต่างไปจากเดิม และเชิญบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียงของโลกในด้านต่างๆ ทั้ง สถาบันการเงิน ประกันภัย น้ำมัน ฯลฯ เข้ามาลงทุน  มี   ระบบสาธารณูปโภค ระบบขนส่งมวลชน ถนน 8 เลน สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  ผู่ตงวันนี้จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนแสนยานุภาพของจีนและความทันสมัยทัดเทียมอารยะประเทศ 

อย่างไรก็ตาม นโยบายการสร้างเมืองใหม่ของจีน ก็มิใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ  ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าการสร้างเมืองของจีนก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ อาทิ สร้างเสร็จแล้วไม่มีคนอยู่   หรือบางเมืองมีการย้ายคนออกไปแล้วแต่ยังไม่ได้สร้างหรือพัฒนา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะความเป็นเมืองไม่ได้หมายถึงจำนวนประชากร หรือขนาดของพื้นที่เท่านั้น หากยังต้องพัฒนาด้านอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กันด้วย ได้แก่  สิ่งแวดล้อม  ธุรกิจ การจ้างงาน โดยเฉพาะการจะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี  มีงานทำ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถสั่งการได้ดังเช่นการสร้างเมืองนี่จึงเป็นสิ่งท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากของจีนอีกเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ดี การสร้างเมืองใหม่ในอดีตที่ผ่านมาอาจะเป็นบทเรียนที่ดีต่อจีนในเวลานี้  ดังนั้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ดูเหมือนว่ามังกรจีนจะไม่เน้นเร่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงตัวเลขเท่าใดนัก แต่จะเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างทั่วถึงเป็นแกนหลัก เพื่อนำไปสู่สังคม “เสี่ยวคัง”  หรือ “สังคมที่กินดีอยู่ดีอย่างทั่วหน้า” ดังนั้น เราจึงได้เห็นการให้น้ำหนักของการสร้างเมือง เปลี่ยนจากเมืองใหญ่มาสู่การสร้างเมืองในรูปแบบใหม่  เป็นเมืองในชนบทมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก และจะมีอิทธิพลในปี 20 ปีข้างหน้าด้วย

นอกจากนี้ เมืองในรูปแบบใหม่ยังคงดำรงไว้ซึ่งอารยธรรมของสังคมเกษตรกรรม การพัฒนาสู่ความเป็นเมืองในรูปแบบใหม่ ต้องไม่เป็นการทำลาย นโยบาย “3 เกษตร” (ชุมชนเกษตร การเกษตรและเกษตรกร) หากแต่ต้องมีผลต่อการแก้ไขปัญหา “3 เกษตร”  เพื่อให้ประชาชนจีนที่เป็นเกษตรกรกว่า 700-800 ล้านคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และการสร้างเมืองใหม่ในทศวรรษนี้จะต้องทำให้เกิดการพัฒนาภาคเกษตรของจีนให้ทันสมัย คือต้องใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การจัดการที่สมัยใหม่ รวมถึงต้องแก้ปัญหากฎหมายที่ดิน เพื่อที่จะเอาที่ที่ทำการเกษตรเข้ามารวมเป็นผืนใหญ่ มาทำภาคเกษตรสมัยใหม่  เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับการท้าทายให้เข้าไปมีบทบาทในการร่วมกับภาครัฐของจีนดำเนินโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมทันสมัยหลายแห่ง  ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่จีนต้องการก็คือความอยู่รอดของประเทศชาติ

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็ทำให้อดที่จะเหลียวดูประเทศไทยของเราไม่ได้  ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะไม่มีนโยบายการพัฒนาเมืองไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือเมืองเล็กที่ชัดเจนเช่นประเทศจีน  หากในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต นอกเหนือจากการพึ่งพาการส่งออก การบริโภคภายในประเทศ การลงทุนต่างประเทศแล้ว เราเลือกที่จะลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกกะโปรเจ็กต์เท่านั้น อย่างล่าสุด โครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างระบบคมนาคมขนส่งทั่วประเทศ ที่ต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ที่ดินตาบอดคืออะไร

เพื่อนๆ หลายๆ ท่านถามผู้เขียนมาว่าที่ดินตาบอดคืออะไร ตอบแบบความรู้น้อยตามประสาบ้านๆ แบบผู้เขียนก็คือที่ดินที่ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ โดยดูได้จากระวางโฉนดหรือดูจากเอกสารสิทธิ์เป็นหลักถึงแม้ว่าความเป็นจริงนั้นจะมีถนนผ่านหรือถนนอยู่หน้าบ้านหากแต่ในเอกสารสิทธิ์นั้นไม่ใช่ทางสาธารณะก็ถือว่าที่แปลงนั้นเป็นที่ตาบอด และความหมายของทางสาธารณะตามความเข้าใจอันน้อยนิดของผู้เขียนนั้นก็คือที่หรือถนนที่แสดงชัดเจนในเอกสารของกรมที่ดินถึงจะเรียกว่าทางสาธารณะ และทางที่ใช้สัญจรไปมาทุกๆ ครั้งผ่านหน้าบ้าน ข้างบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่อาจจะไม่ใช่ทางสาธารณะและอาจจะมีการครอบครองโดยผู้ใดผู้หนึ่งก็เป็นได้เพียงแต่เปิดใช้กันตามอัธยาศัยแบบเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่กันตามประสาพี่ๆ น้องๆ กันในหมู่บ้านซึ่งไม่ค่อยจะยึดเขตแดนอะไรเป็นหลักมากมายเพราะคนกันเองทั้งนั้น




ดังนั้นที่หน้าบ้าน ทางข้างบ้านอาจจะไม่ใช่ทางสาธารณะอย่างที่เราเข้าใจกันก็เป็นได้ตราบใดที่ในเอกสารสิทธิ์ไม่เขียนว่าทางสาธารณะ จึงพึงสังวรให้กับหลายๆ ท่านที่จะซื้อที่ดินให้อ้างอิงคำกล่าวจากเอกสารสิทธิ์จะดีที่สุดเพื่อป้องกันอาการหน้าปวดหัวตามมาที่หลัง คงจะปวดหัวพิลึกเมื่อที่ดินที่เราลงทุนลงแรงซื้อไปไม่มีทางเข้าถึงรถไม่สามารถเข้าไปได้ได้แต่เดินแอบๆ ย่องๆ

โดยส่วนใหญ่แล้วที่ดินตาบอดจำพวกนี้มักจะขอซื้อที่ดินจากแปลงข้างๆ เพื่อขอซื้อทางออกไปสู่ถนนสาธารณะ หากมิตรสัมพันธ์ดีก็ไม่ใช่ปัญหาหากแต่หลายครั้งที่พบว่าข้างบ้านเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดีฉวยโอกาสขายที่ส่วนเล็กๆ เพื่อทำถนนในราคามหาโหด

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หนี้ 3 ประเภทของประเทศไทย

หนี้ 3 ประเภทของประเทศไทย

"หนี้  หรือ DEBT" เป็นที่น่ากลัวและจำเป็นของนักลงทุน ที่น่ากลัวคือเป็นหนี้แล้วไม่มีเงินจ่าย ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น หนี้มากๆก็จะเป็นหน่วยงานใหญ่ มีเครดิต เป็นหนี้เสียอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย ทั้งบริษัทและคนค้ำประกัน ในปี 2540 ก็เกิดมาแล้วคือต้มยำกุ้ง
alt    ในด้านบวกก็คือ ถ้าจะทำธุรกิจทุกคนต้องดูให้ดี ไม่มีใครมีทรัพย์สินเงินสดสะสมไว้พอจะลงทุน ซึ่งต้องการเงินมาลงทุนล่วงหน้า สถาบันการเงินและธนาคารปัจจุบันก็มีมาตรการไม่ปล่อยกู้เกินทรัพย์สิน ถ้าเป็นโครงการอสังหาฯ 1,000 ล้านบาทต้องมีเงินทุนครึ่งหนึ่งคือ 500 ล้านบาท ต้องไปสะสมจากพรรคพวกร่วมกันเป็นบริษัท กู้ไม่เกิน 2 เท่า แต่ถ้าเป็นธุรกิจการค้าอาจจะได้มากกว่าหรือเอาสัญญาว่าจ้างมาค้ำประกัน เช่น บริษัทก่อสร้าง บริษัทส่งออก เป็นต้น
    ปัจจุบันนี้โลกกำลังมีปัญหาเรื่อง "หนี้" มากมายล้นพ้น ถ้าจำแนกหนี้จะมีหนี้อยู่ 3 ระดับใหญ่ๆคือ 1.หนี้ของประเทศที่เรียกว่า "หนี้สาธารณะ" หรือ Public Debt รัฐบาลกู้มามากๆเอามาทำประชานิยมและลงทุน ไม่มีเงินจ่ายคืน เช่น กรีซ ไอร์แลนด์ สเปน กลุ่มประเทศพวกนี้มีหนี้สูงกว่า 2 เท่าของรายได้ต่อปี (ไทย 45% ของ GDP) อเมริกาก่อหนี้ในระดับเกิน 1 เท่า ญี่ปุ่นร่วม 80% ประเทศไม่มีรายได้ ใช้หนี้ไม่ได้ก็จะเป็นหนี้เสียของประเทศ
    2.หนี้ของบริษัทห้างร้าน ผู้ประกอบการ เรียกว่า Corporate หรือ Company Debt พ่อค้า นักลงทุน กู้มาลงทุน หนี้เสียเมื่อขาดทุนหรือไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีการกำหนดให้ธนาคารปล่อยกู้ ติดตามลูกหนี้ว่าอยู่เกณฑ์ใด จัดชั้นหนี้ และต้องสำรองทุนเอาไว้ บางครั้งถึง 100% และป้องกันมิให้ล้มละลายไปด้วย ต้มยำกุ้ง หนี้พวกนี้มีมากสูงถึง 50% ของระบบ และสถาบันการเงินก็ล้มละลายไปด้วยหลายธนาคาร
    และ 3.หนี้ส่วนบุคคล หรือหนี้ครอบครัวที่เรียกว่า Personal Debt หรือ  House-Hold Debt แต่ละบุคคลกู้มาใช้จ่ายหรือลงทุนส่วนตัว เช่น ซื้อบ้าน คอนโดฯ รถยนต์ เป็นต้น หนี้ประเภทนี้โดยธรรมดาแล้วไม่น่ากลัว เพราะกว่าจะกู้ได้สถาบันการเงินและธนาคารได้ตรวจสอบรายได้ และทรัพย์สินค้ำประกันเป็นอย่างดี จะเป็นหนี้เน่า คือเสียจนแก้ไม่ได้ ก็จะริบค้ำประกันมาขายต่อได้กำไรเสียอีก หนี้ชนิดที่น่ากลัวนี้เกิดที่อเมริกาปี 2551 โรคแฮมเบอร์เกอร์(Hamberger) ที่สถาบันการเงิน- ธนาคารปล่อยให้ลูกหนี้ไม่มีคุณภาพ ปล่อยโดยไม่เช็กเครดิตจนกู้เกินตัว เอาไปเก็งกำไรบ้านคนละ 3-4 หลังในอเมริกา พอเศรษฐกิจผันผวนคนอเมริกันชั้นกลางเป็นหนี้เน่ากันร่วม 30% ของระบบ ดึงธนาคารชั้นนำล้มละลายจนทุกวันนี้ เรียกหนี้ว่า Sup Prime Loan
    ขณะนี้กำลังเกิดขึ้นในไทยคือ 1.หนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้มาลงทุนและทำประชานิยม เริ่มมากขึ้นทุกที รัฐบาลเพิ่งผ่านกฎหมายเพิ่มกู้ 2 ล้านล้านบาท  ส่วนดีก็คือมีเงินหมุนเวียนในระบบการลงทุน คนมีเงินมากขึ้น รายได้สูงขึ้น(แต่เงินเฟ้อ Inflation ก็จะตามมา) คุณภาพชีวิตดีขึ้น
    ประเทศที่มีรายได้ไม่ดี หนี้สาธารณะก็มี เช่น ดูไบ บรูไน มีน้ำมันมากมาย เป็นหนี้มากก็ปั๊มน้ำมันมาใช้หนี้ก็เกินพอ ส่วนอเมริกาซึ่งกำลังทุ่มเงินเข้ามาแก้ปัญหาใช้อีกวิธี คือปั๊มเงินดอลลาร์มาใช้ พอมีหนี้ก็ปั๊มเงินกระดาษตัวเองออกมา ที่ทำได้เพราะเครดิตดี คนทั้งโลกเชื่อดอลลาร์ เงินดอลลาร์จึงเหมือนน้ำมันในประเทศอเมริกา
    ส่วนไทยไม่มีสิทธิ์ปั๊มเงินบาทออกมาและไม่มีน้ำมัน ในอดีตพิมพ์เงินออกมาต้องมีทองคำประกันเป็นกฎเกณฑ์ที่อเมริกาเคยตั้งไว้ และบัดนี้อเมริกาก็เลิกแล้ว ปั๊มเงินกระดาษออกมาเป็นว่าเล่นจนทั่วโลกเป็นห่วงว่า "เงินจะท่วมโลก" อยู่แล้ว แล้วเอามาปั่นหุ้นรวมทั้งไทยด้วย
    ส่วนที่น่ากลัวของไทย เรื่องที่ 2 คือ "หนี้ส่วนบุคคลและครัวเรือน"  ที่กำลังโตเพราะปล่อยกู้บ้านหลังแรก รถคันแรก และ Non-Bank ให้เครดิตซื้ออุปโภคบริโภคด้วยการ์ดพลาสติกกันคนละ 4-5 ใบ ขณะนี้ไม่มีการเช็กเครดิต ไม่มีเครดิตบูโรรูดกันเพลิน หมุนหนี้กันระหว่างบัตรเครดิต เอามาทั้งซื้อบ้าน รถยนต์ คอนโดฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเล่นหุ้น เล่นฟุตบอลกัน ที่น่ากลัวคือถ้าคนไทยกลุ่มนี้เป็นหนี้เสีย "หนี้เน่า" คนในประเทศจะจนลงทันที ไม่มีเครดิต ไม่เพิ่มคุณภาพชีวิตอีกต่อไป เพราะ "กู้เกินตัว" เกิดความโลภเกินเหตุ ความพอเพียงก็จะหายไป ครอบครัวก็จะมีปัญหา
    จะทำอย่างไร ต้องเริ่มที่ผู้ปล่อยกู้ ทั้งธนาคารและไม่ใช่ธนาคารต้องมีมาตรการเช็กเครดิต ธปท.เป็นพ่อบ้านด้านการเงินต้องรีบออกมากำกับให้ทันเวลา อย่าปล่อย อย่าประมาทเช่นต้มยำกุ้งในอดีต สุดท้ายสุภาษิตที่ว่า "ความไม่มีหนี้ คือลาภอันประเสริฐ" เศรษฐีทั่วโลกจะไม่มีหนี้ส่วนตัว มักจะปล่อยหนี้ไว้กับบริษัท ถ้าไม่มีน้ำมันก็ต้องพึ่งกรณีมีคนที่มีคุณภาพ ลองคิดดูถ้าคนไทยทุกคนจบปริญญา คน 50% จบปริญญาเอกก็จะเป็นทรัพยากรที่ดีกว่าน้ำมันเสียอีก ขอให้ทุกคนโชคดีปีใหม่ อย่าสร้างหนี้ มีหนี้แล้วต้องใช้ ห้ามเบี้ยวครับ

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สิทธิ์การถือครองที่ดินในประเทศไทย



สิทธิ์การถือครองที่ดิน


 สิทธิ์การถือครองที่ดินในประเทศไทย

เอกสารสำคัญทั้งหมดนี้แม้จะแสดงถึงการเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าบุคคลอื่นแล้วก็ ตาม ถ้าเป็นที่ดินที่โฉนดที่ดิน ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 10 ปี และที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน ๕ ปีติดต่อกัน ที่ดินดังกล่าวจะต้องตกเป็นของรัฐตามกฎหมาย หรือถ้าหากปล่อยให้บุคคลอื่นครอบครองโดยสงบเปิดเผย โดยมีเจตนาเอาเป็นเจ้าของโดยท่านไม่เข้าขัดขวาง สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดินเป็นเวลา ๑๐ ปีติดต่อกันบุคคลที่เข้าครอบครองนั้นก็จะมีสิทธิไปดำเนินคดีทางศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบ ครองได้
และที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข) ใช้เวลาแย่งการครอบครองเพียง ๑ ปีเท่านั้น ท่านก็จะเสียสิทธิ ดังนั้นเมื่อที่ดินของท่านมีเอกสารสำคัญดังกล่าวอยู่แล้ว ก็ควรทำประโยชน์และดูแลรักษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินก็จะเป็นของท่าน และเป็นมรดกที่มีค่าให้แก่ทายาทของท่านต่อไป
เอกสารสิทธิ์ถือครองที่ดิน
 
 
1.ภ.บ.ท.5/ภ.บ.ท.6 ใบสร็จเสียภาษีบำรุงท้องที่
2.ส.ป.ก.4-01 หนังสือแสดงสิทธิ์การทำเกษตร ไม่มีสิทธิ์ขายแต่ตกเป็นมรดกลูกหลานได้
3.กสน. หนังสือแสดงสิทธิ์ที่ดินทำกินในเขตนิคมสหกรณ์
4.สทก. หน้งสือแสดงสิทธิ์ที่ดินทำกินในเขตป่าสงวน
5.น.ศ.3 หนังสือให้เข้าใช้ในนิคมสร้างตนเอง
6.ใบเหยียบย้ำ เอกสารครอบครองที่ดินเก่าที่ให้บุคคลเข้าครอบครองบุกเบิกที่ดิน
7.ใบไต่สวน (น.ส.5) หนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อการออกโฉนด
ใบไต่สวน หรือ น.ส.5 คือ ที่ดินนั้นได้มีการนำรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน มิใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เจ้าของที่ดินที่มีใบไต่สวนมีแต่เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ได้ให้ความหมายว่าเป็น หนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดิน และให้หมายความรวมถึงใบนำด้วย การออกโฉนดที่ดินจะต้องมีการทำใบไต่สวน ก่อนการออกโฉนดที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องทำการเดินสำรวจรังวัด ในการเดินสำรวจนั้นเมื่อเดินสำรวจไปถึงที่ดินของผู้ใดที่มานำรังวัด ผู้ครอบครองที่ดินนั้นจะต้องนำเจ้าพนักงานที่ดินชี้แนวเขตที่ดินของตน ให้ความสะดวกและนำรังวัด เจ้าพนักงานที่ดินจะสอบสวนรายละเอียดเกี่ยวกับเขตที่ดินและสอบสวนว่าผู้ใด เป็นเจ้าของ ได้ที่ดินมาอย่างไร เมื่อใด ใครครอบครองที่ดินอยู่ มีหลักฐานสำหรับที่ดินหรือไม่ เมื่อได้ความว่าใครเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินก็จะใส่ชื่อผู้นั้นและจดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดิน ที่ได้จากการเดินสำรวจรังวัดลงไว้ในใบไต่สวน เพื่อใช้เป็นหลักฐานข้อมูลในการทำโฉนดที่ดิน หลังจากนั้นจะประกาศให้มารับโฉนดที่ดินต่อไป
8.ใบจอง (น.ส.2) หนังสืออนุญาติให้เข้าใช้ที่ดินชั่วคราว
หนังสือ แสดงสิทธิ ที่ทางราชการออกให้เพื่อแสดงความยินยอมให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็น การชั่วคราว ผู้รับใบจองต้องเริ่มทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับใบจอง
9.ส.ค.1 หนังสือแสดงสิทธิ์การครอบครองที่ดินเปล่า
ส.ค.1 (ใบแจ้งการครอบครองที่ดิน) เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ครอบครองเป็นผู้แจ้งว่าตนครอบครองที่ดินแปลงใด อยู่ แต่ส.ค.1นี้ไม่ใช่หนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน เป็นเพียงคำแจ้งความของราษฎรเท่านั้น ที่ดินที่มีส.ค.1จะไม่สามารถขายหรือยกให้ได้ แต่จะโอนกันได้เพียงแสดงเจตนาสละการครอบครองและไม่ยึดถือพร้อมส่งมอบให้ผู้ รับโอนไปเท่านั้นซึ่งผู้ครอบครองคนใหม่สามารถทำใบแจ้งการครอบครองที่ดินฉบับ ใหม่ได้
10.น.ส.3/น.ส.3ก. หนังสือรับรองการเข้าใช้ที่ดิน นำไปใช้ทำนิติกรรมได้
นส.3 (หนังสือรับรองการใช้ประโยชน์) หนังสือรับรองฉบับนี้คล้ายกับหนังสือรับรองข้างต้น เว้นแต่ระเบียบวิธีในการแจ้งสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ก่อนการโอนจะเกิดขึ้นจะต้องมี หนังสือแสดงเจตน์จำนงและจะประกาศแจก นส. 3 มีกำหนด 30 วัน ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงสถานภาพของที่ดินจะมีการจดทะเบียน

นส.3 ก (หนังสือรับรองการทำประโยชน์) หนังสือรับรองการทำฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในหนังสือรับรอง เป็นบุคคลทีมีสิทธิถูกต้องในการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือโดยนัย คือ ซึ่งอาจจำหน่ายได้, ให้เช่า, ใช้ประโยชน์ในการจำนอง และอื่นๆ ผู้ถือหนังสือรับรองนี้ มาสามารถปล่อยที่ดินให้รกร้าง โดยไม่ดูแลนานเกินกว่า 12 ปี โฉนดและ นส 3 ก นี้ เป็นเอกสารสิทธิ์ที่แสดงว่าเจ้าของสามารถให้เช่าได้
 

11.โฉนด/น.ส.4 หนังสือสำคัญแสดงสิทธิ์การถือครองที่ดินอย่างถูกกฏหมาย
โฉนด กรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างสมบูรณ์ โฉนดจะมีการจดทะเบียน ณ กรมที่ดินประจำจังหวัดที่ทรัพย์สินตั้งอยู่และไม่จำเป็นต้องรอการโอน กรรมสิทธิ์ ซึ่งโฉนดที่ดินจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง การแบ่งเขตที่ดินสัมพันธ์กับการตรวจสอบระดับชาติ พร้อมทั้งทำเครื่องหมายโดยการติดตัวเลขเฉพาะลงบนที่ดิน ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของกรมที่ดินที่จะใช้ระบบโฉนดเพื่อครอบคลุมที่ดิน ทั้งหมดในประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตึกสูงทั่วกรุงเสี่ยงวินาศ!? ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ยิ่งใกล้ไทยยิ่งอันตราย!



แม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นพิกัดศูนย์กลางของเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ เราได้รับแรงสะเทือนเสียทุกครั้งไป โดยเฉพาะตามตึกสูงระฟ้าในเขตกรุงเทพฯ ที่สร้างความตื่นตระหนกอยู่เนืองๆ ซึ่งสิ่งที่น่าวิตกไปกว่านั้นคือ บรรดาตึกสูงในประเทศเรายังขาดมาตรการรองรับกรณีแผ่นดินไหว และยังมีการเปิดเผยอีกว่า ผืนดินในเมืองหลวงนั้นอ่อนมาก ถ้าเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงตึกสูงทั้งหลายมีความเสี่ยงถล่มแน่นอน
       
       เหตุการณ์แผ่นดินไหว 6.6 ริกเตอร์ ที่ประเทศพม่า (11 พ.ย.) ถือเป็นเหตุครั้งล่าสุด ถึงบ้านเราจะไม่ได้รับแจ้งเหตุรุนแรงเพราะอยู่ห่างไกลหลายร้อยกิโลเมตร แต่ชาวกรุงที่อยู่บนอาคารสูง รวมทั้งชาวบ้านทางภาคเหนือก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือน ส่วนประเทศที่เกิดเหตุนั้นได้รับความสูญเสียอย่างหนัก
       
       อย่าชะล่าใจ เพราะสภาพพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นมีลักษณะเป็นแอ่ง ลักษณะพื้นดินด้านล่างอ่อนเป็นเลน ลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายกับกรุงเม็กซิโก ซิตี ที่ในอดีตเคยได้รับความเสียหายครั้งใหญ่จากแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางออกไปมากกว่า 300 กิโลเมตรราวปี 2528 ซึ่งกลายเป็นบทเรียนที่ผู้เชี่ยวชาญแขนงที่เกี่ยวข้องในไทยร่วมศึกษาหาเพื่อหาแนวทางลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
       
        ตึกสูงเสียดฟ้า อัตราเสี่ยงที่มากกว่า
       
       ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว (24 มี.ค. 2554) ก็เคยเกิดกรณีแผ่นดินไหวในประเทศพม่าที่สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวไทยเช่นกัน เพราะแรงสั่นสะเทือนในครั้งนั้นส่งผลให้ตึกรามบ้านช่องของเราเสียหายไปด้วย ซึ่งดูจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมไทยเริ่มตระหนักในภัยพิบัติธรณีวิปโยค
       
       ครั้งนั้นหลังเหตุการณ์สงบ สำนักงานกรุงเทพฯ ก็เร่งตรวจสอบตึกสูงหลายแห่ง ไล่ตั้งแต่ตึกที่รู้จักกันดี อย่างตึกใบหยก, โรงแรมดุสิตธานี, อาคารพาณิชย์ย่านสาทร สีลม ฯลฯ
       
       อย่างที่กล่าวในข้างต้นว่า ในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนพื้นดินอ่อน ฉะนั้น หากเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงตึกสูงๆ ก็เตรียมรับสภาพย่อยยับทุกหย่อมหญ้า ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้าง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว กล่าวย้ำว่าเมืองหลวงของเราเป็นพื้นที่เสี่ยง
       
        “ทั้งกรุงเทพฯ แอ่งของกรุงเทพฯ มันคลุมหลายจังหวัด กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนแอ่งดินอ่อน แต่เดิมเป็นทะเลมาก่อน เพราะฉะนั้น มันเป็นพื้นที่ดินอ่อนที่ใหญ่มาก”
       
        ไม่ว่าตึกสูงจะตั้งตระหง่านย่านไหน สีลม, บางรัก, สาทร, พญาไท, ห้วยขวาง, ดอนเมือง ฯลฯ รับรองได้ว่ารับผลกระทบไม่แพ้กัน 
       
       ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวอธิบายถึงโครงสร้างของตึกสูงในกรุงเทพฯ ว่า เรื่องมาตรฐานการออกแบบก่อสร้าง จะอาคารพาณิชย์เสียดฟ้า หรือดอนโดฯ หรูหลายสิบชั้น ส่วนมากถูกออกแบบภายใต้มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ แต่อาจติดในเรื่องการต้านแรงแผ่นดินไหว
       
       “ถ้าไม่ได้ออกแบบให้อาคารทนแรงสั่นได้ อาคารก็จะมีทั้งอาคารอ่อนแอ ธรรมดา และแข็งแรงปนกันไป ต่างกัน ถ้าตั้งใจออกแบบให้อาคารนั้นทนแผ่นดินไหวได้ อาคารทุกๆ ตัว ที่ออกแบบอย่างถูกวิธีก็จะทนได้ในระดับหนึ่ง”
       
       แผ่นดินไหวเขย่ากรุงเทพฯ ชั้นใน-ชั้นนอก 
       
       ถามว่าตึกสูงในประเทศไทยรองรับความรุนแรงได้แค่ไหน ทางผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวท่านเดิมก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนนัก เพราะต้องดูปัจจัยในการเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งประกอบด้วย โดยเฉพาะศูนย์กลางที่เกิดเหตุ รวมไปถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ในแต่ละครั้ง
       
       “พื้นดินสั่นสะเทือนถ้าสั่นเบาๆ โครงสร้างมันยังทนได้ ถึงโครงสร้างไม่ได้ออกแบบต้านทานแผ่นดินไหวเลยก็ทนได้ แต่ถ้ามันสั่นแรงขึ้นๆ ค่อนข้างตัวอาคารอ่อนแอ หรือมีจุดอ่อนอยู่เยอะก็จะเสียหายรุนแรง และมันอาจจะพังทลายบางส่วน มันแล้วแต่ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความเหนียวของตัวโครงสร้าง”
       
        ตามข้อมูลจดหมายข่าว IPRB รศ.ดร.อมร พิมานมาศ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรม โครงสร้างและสะพาน สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ได้อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอันตรายจากเหตุแผ่นดินไหว ได้แก่ 1. พื้นที่นั้นอยู่ใกล้รอยต่อของเปลือกโลก หรือ Ring of Fire หรือรอยเลื่อน ที่มีศักยภาพที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว 2. พื้นที่นั้นตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อนหรือไม่ 3. โครงสร้างของอาคารบ้านเรือนในพื้นที่นั้นออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวหรือเปล่า
       
       ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การเกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางก็เป็นอันตรายได้ แน่นอนว่าตึกรามบ้านช่องที่ตั้งบนพื้นดินอ่อนในเขตกรุงเทพฯ รวมทั้งปริมณฑล อย่างนทบุรี ปทุมธานี ไปจนถึงสมุทรปราการ และสมุทรสาคร ยิ่งเป็นอาคารบ้านเรือนที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อป้องกันภัยแผ่นดินไหวย่อมได้รับผลอย่างหนัก
       
       ปรับมาตรฐานอาคารรับแรงสะเทือน
       
       อาจเป็นเพราะประเทศไทยยังไม่เคยเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวขั้นรุนแรง การก่อสร้างอาคารสูงจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวเท่าที่ควร ดร.เป็นหนึ่งกล่าวว่า เบื้องต้นของการก่อสร้างอาคารในประเทศไทยมี พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ปี 2550 ออกมาบังคับใช้ แต่เนื้อหายังไม่ชัดเจน มาตรฐานที่กำหนดไว้ก็ไม่ทันยุคทันสมัย
       
       2 ปีถัดมา กรมโยธาธิการก็จัดทำข้อกำหนดให้เหมาะสมมากขึ้น สร้างมาตรฐานใหม่แก่อาคารสูงในเขตกรุงเทพฯ และทั่วประเทศเพื่อรองรับป้องกันในเรื่องแผ่นดินไหว
       
       แต่ยอมรับว่า วิศวกรผู้คุมงานก่อสร้างก็ดี หรือเจ้าของโครงการตึกสูงก็ดี ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากนัก เพราะเป็นเรื่องใหม่ และยังต้องปรับตัวกันอีก ดร.เป็นหนึ่งให้ทัศนะว่า ความตื่นตัวมีเพิ่มขึ้นแน่นอน การเสนอข่าวของสื่อมวลชนนั้นมีผลต่อการรับรู้ เกิดการติดตาม และสร้างความเข้าใจ ประชาชนเองมีส่วนกดดันเพื่อเร่งสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตึกสูงในเมืองไทย
       
       “มีความตื่นตัวแต่ว่ายังไม่มีแอ็กชันที่ดีพอ อาคารรุ่นใหม่ก็พยายามที่จะออกแบบเป็นเรื่องเป็นราว ทางเราให้การแนะนำเป็นเรื่องเป็นราวไปเหมือนกัน แต่หลายโครงการก็ยังไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ประชาชนต้องทราบเรื่องนี้ก่อน ในหมู่วิศวกรก็มีทั้งคนที่ใส่ใจ และไม่ใส่ใจ ในหมู่ของเจ้าของโครงการหลายเจ้าก็ใส่ใจมากขึ้น บางที่แม้ไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยก็ยังเอาจริงเลย”
       
       แม้การออกแบบ หรือแก้ไขโครงสร้างอาคารให้รองรับแรงสั่นไหวของแผ่นดินนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทางเจ้าของโครงการฯ ก็ต้องยอมจ่าย เพราะนั่นหมายถึงสวัสดิภาพขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ
       
       ….................
       ไม่รู้ว่าโลกของเรากำลังเขาสู่ยุคแห่งภัยพิบัติหรือเปล่า เพราะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ธรรมชาติได้มอบบทเรียนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแก่มนุษย์ ถึงเราจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพียงไร แต่ท้ายที่สุดก็คงฝืนธรรมชาติไม่ได้
       
       จะว่าไปภูมิศาสตร์ของประเทศไทยยังถือว่าโชคดีกว่าหลายๆ ประเทศ เพราะไม่ได้ตั้งบริเวณศูนย์กลางการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ผลกระทบก็ถือว่ายังน้อย อย่างไรก็ตาม บรรดาตึกสูงราวกับสร้างขึ้นมาท้าทายปรากฏการณ์ธรรมชาติคงนิ่งนอนใจต่อภัยพิบัติไม่ได้ เร่งสร้างมาตรการป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ เถิด
       

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 อันดับเมือง “โตเร็ว” ที่สุดในโลก



สำนักข่าวเทเลกราฟ เผย 10 อันดับ “เมืองโตเร็วที่สุดในโลก” (The world’s fastest growing cities) โดยพิจารณาจากเมืองมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโดยเฉลี่ยต่อปี ในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 สูงที่สุดในโลก (คัดมาจากหนังสือ ไทม์เอาท์’ ส ไกด์ ทู เดอะ เวิลด์’ ส เกรทเทส ซิตี้ส์) 
มาดูกันว่าเมืองไหนในโลกนี้ที่จะมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากร มากที่สุดภายในอีก 10 ปีข้างหน้า 

อันดับที่ 10. เมืองจิตตะกอง (Chittagong) สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ 



จิตตะกอง เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองและเป็นเมืองท่าใหญ่ที่สุดของบังกลาเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองสำคัญทางธุรกิจ เป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติ โรงงานขนาดใหญ่ และ อีโคพาร์ค มีประชากรอาศัยอยู่ราว 4 ล้านคน อัตราความหนาแน่นของประชากรต่อตารางกิโลเมตรอยู่ที่ 15,276 คน และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.29% ต่อปี 



หมายเหตุ: บังกลาเทศ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ทิศเหนือ ตะวันตก และตะวันออกตอนบนติดกับอินเดีย (มีแนวชายแดนยาวติดต่อกันประมาณ 4,053 กิโลเมตร) ทิศตะวันออกตอนล่างติดพม่า (มีแนวชายแดนยาว 193 กิโลเมตร) ส่วนทางด้านทิศใต้ติดอ่าวเบงกอล มีเมืองหลวงชื่อ “กรุงธากา (Dhaka)” 

อันดับที่ 9. เมืองดาร์ เอส ซาลาม (Dar es Salaam) สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย 



ดาร์ เอส ซาลาม (Dar es Salaam) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในประเทศแทนซาเนีย ทั้งยังเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของแอฟริกาตะวันออก ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแทนซาเนีย แม้ว่าปัจจุบันเมืองหลวงของประเทศจะย้ายไปอยู่ที่กรุงโดโดมา (Dodoma) แต่หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งยังคงตั้งอยู่ในเมืองดาร์ เอส ซาลาม 
ปัจจุบัน เมืองดาร์ เอส ซาลาม มีประชากรราว 2.8 ล้านคน และคาดว่าน่าจะเพิ่มเป็น 5.12 ล้านคนในปี ค.ศ. 2020 โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.39% ต่อปี 



หมายเหตุ: สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประกอบด้วย 2 สาธารณรัฐ คือ แทนกานยิกา (Tanganyika) และแซนซิบาร์ (Zanzibar)… “สาธารณรัฐแทนกานยิกา” ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา อาณาเขตทางด้านเหนือและตะวันออกติดเคนยา ยูกันดา และทะเลสาบวิคตอเรีย ทิศตะวันตกติดกับรวันดา บุรุนดี สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (เดิมคือซาอีร์) และทะเลสาบแทนกานยิกา ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับแซมเบีย มาลาวี และทะเลสาบมาลาวี ทิศใต้ติดโมซัมบิก ด้านทิศเหนือเป็นที่ตั้งของภูเขาคิลิมันจาโร (Kilimanjaro) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงสุดในทวีปแอฟริกา ส่วน “สาธารณรัฐแซนซิบาร์” ประกอบด้วยเกาะแซนซิบาร์ และเกาะเพมบา (Pemba) อยู่ห่างจากชายฝั่งของแทนกานยิกา ประมาณ 40 กิโลเมตร 


** 2 อันดับต่อไปนี้มีอัตราการการเพิ่มขึ้นของประชากรเท่ากัน ** 
อันดับที่ =7. เมืองลากอส (Lagos) สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย 



ลากอส เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปแอฟริกา (รองจากกรุงไคโรของอียิปต์) ทั้งยังเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางด้านธุรกิจ การบิน การพาณิชย์ และอุตสาหกรรมน้ำมัน ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกอีกด้วย ในอดีตลากอสเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศไนจีเรีย แต่เนื่องจากมีขนาดใหญ่มากและมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นเกินไป รัฐบาลไนจีเรียจึงได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุง “อาบูจา” แทน อย่างไรก็ตาม ลากอส ยังคงได้ชื่อว่าเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของโลก เนื่องจากไนจีเรียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดในทวีปแอฟริกา 

ลากอส เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากถึง 15.5 ล้านคน (อยู่ในเขตตัวเมือง 7.9 ล้านคน) และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.44% ต่อปี 



หมายเหตุ: ไนจีเรีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา ทิศเหนือติดสาธารณรัฐไนเจอร์ ทิศใต้ติดมหาสมุทรแอตแลนติกบริเวณอ่าวกินี ทิศตะวันออกติดสาธารณรัฐแคเมอรูนและสาธารณรัฐชาด ทิศตะวันตกติดสาธารณรัฐเบนิน มีประชากรมากที่สุดในแอฟริกา 

อันดับที่ =7. เมืองฟาริดาบัด (Faridabad) สาธารณรัฐอินเดีย 



ฟาริดาบัด เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงเดลี (Delhi) ถือเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมของรัฐหรยาณา มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในด้านการผลิตเฮนน่า ทั้งยังเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ โรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ รถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รองเท้า ตู้เย็น ฯลฯ 
เมืองฟาริดาบัด มีประชากรทั้งสิ้นมากกว่า 1 ล้านคน อัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.44% ต่อปี 



หมายเหตุ: อินเดีย ตั้งอยู่ในเอเชียใต้ ทิศเหนือติดจีน เนปาล และภูฏาน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดปากีสถาน ทิศตะวันออกติดบังกลาเทศ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่า ทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย 
อันดับที่ 6. เมืองบามาโก (Bamako) สาธารณรัฐมาลี 



บามาโก เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศมาลี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนเจอร์ (ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ) ในอดีตเคยเป็นแหล่งผลิตและค้าทองคำให้กับอาณาจักรต่างๆ ที่อยู่รายรอบแม่น้ำไนเจอร์ แต่ปัจจุบันเป็นเมืองท่าริมแม่น้ำ ตลอดจนศูนย์กลางการขนส่งทางเรือและอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งยังเป็นเมืองที่มีผู้คนในชนบทหนีภัยแล้งเข้ามาหางานทำและอาศัยอยู่เป็น จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาหางานทำโดยผิดกฏหมายและลูกจ้างชั่วคราวอีกนับ ไม่ถ้วน ส่งผลให้มีปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย อาทิ ปัญหาด้านการจราจร สุขอนามัย และปัญหาด้านมลภาวะ เป็นต้น 
เมื่อปีที่แล้วมีรายงานว่า ประชากรในเมืองบามาโกมีมากกว่า 1.8 ล้านคน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าปัจจุบันนี้ประชากรในเมืองดังกล่าวมีมากกว่า 2 ล้านคนแล้ว โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.45% ต่อปี 



หมายเหตุ: มาลี ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา ทิศเหนือติดประเทศแอลจีเรีย ทิศตะวันออกติดประเทศไนเจอร์ ทิศตะวันตกติดกับประเทศเซเนกัลและมอริเตเนีย ทิศใต้ติดกับประเทศบูร์กินาฟาโซ โกตดิวัวร์ และกีนี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของแอฟริกาตะวันตก 

อันดับที่ 5. เมืองคาบูล (Kabul) สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน 



กรุงคาบูล เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของอัฟกานิสถาน ตั้งอยู่บนความสูง 5,900 ฟุต (1,800 ม.) เหนือระดับน้ำทะเล ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ ที่ผ่านมา ชาวอัฟกานิสถานต้องเผชิญกับภาวะสงครามอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ส่งผลให้ประชาชนในชนบทอพยพหนีความอดอยากเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงคาบูลเป็น จำนวนมากตลอด 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่กันอย่างไม่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่ได้จดทะเบียนที่พักอาศัยอย่างถูกต้อง จึงทำให้การสำรวจจำนวนประชากรที่แท้จริงเป็นไปได้ยาก 

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากรุงคาบูลน่าจะมีประชากรอาศัยอยู่ราว 3-4 ล้านคน โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.74% ต่อปี 



หมายเหตุ: อัฟกานิสถาน ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ค่อนไปทางเอเชียกลาง ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทิศเหนือติดทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ทิศตะวันออกและใต้ติดกับปากีสถาน และทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดจีน ทิศตะวันตกติดอิหร่าน 
อันดับที่ 4. เมืองสุรัต (Surat) สาธารณรัฐอินเดีย 



เมืองสุรัต เป็นศูนย์กลางทางด้านการพาณิชย์ของรัฐคุชราต มีชื่อเสียงทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเพชร จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสิ่งทอของอินเดีย (คุณภาพระดับเวิลด์คลาส) และเป็นเมืองหลวงแห่งเพชรของโลก เนื่องจากมีเพชรจำนวนมากถึง 92% ของโลกที่ถูกส่งมาเจียระไนและขัดเงาในเมืองสุรัต 

อย่างไรก็ตาม สุรัตยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลก โดยมีบ้านพักที่ถูกสร้างขึ้นอย่างผิดกฏหมายและสลัมหลายแห่ง ประกอบกับมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงมาก (โดยเฉพาะในหมู่ผู้อพยพ) จึงเชื่อว่าในปีที่ผ่านมา น่าจะมีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองสุรัตมากกว่า 5.4 ล้านคน หรือกว่า 1.6 หมื่นคนต่อตารางกิโลเมตร โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.99% ต่อปี 



อันดับที่ 3. เมืองซานอา (Sana’a) สาธารณรัฐเยเมน 



ซานอา เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศเยเมน นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่โตเร็วสุดเป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว ยังเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 2,500 ปี และมีสถาปัตยกรรมโบราณมากมาย อาทิ มัสยิดเก่าแก่ 103 แห่ง และบ้านอีกราว 6,500 หลัง ที่ถูกสร้างขึ้นก่อนศตวรรษที่ 11 (หลายอาคารมีอายุยาวนานกว่า 1,400 ปี) จึงได้ รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) 

เมืองซานอา มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 2 ล้านคน และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 5% ต่อปี 



หมายเหตุ: เยเมน ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทิศเหนือติดราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และรัฐสุลต่านโอมาน ทิศใต้ติดทะเลอาหรับ ส่วนทิศตะวันตกติดกับทะเลแดง 

อันดับที่ 2. เมืองคาเซียบัด (Ghaziabad) สาธารณรัฐอินเดีย 



คาเซียบัด เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่กำลังเฟื่องฟู ตั้งอยู่ในรัฐอุตระประเทศ ห่างจากกรุงเดลลีเพียง 19 ก.ม. อุตสาหกรรมที่สำคัญของเมืองนี้ คือ การผลิตโบกี้รถไฟ เครื่องยนต์ดีเซล แหวนและลูกสูบรถยนต์ ยารักษาโรค เหล็ก สุรา จักรยาน เครื่องแก้ว ดินเผา น้ำมันพืช สี ฯลฯ ทั้งยังเป็นเมืองที่มีการวางผังและวางแผนก่อสร้างโครงการต่างๆ มาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างถนนหนทาง ห้างสรรพสินค้า ทางยกระดับ และระบบรถไฟใต้ดิน เป็นต้น แต่ก็มีโบราณสถานและหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ (สมัย 2,500 ปีก่อนคริสตกาล) ให้ได้เที่ยวชมและศึกษากัน 

ปัจจุบัน คาเซียบัด มีประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 5.20% ต่อปี 



อันดับที่ 1. เมืองเป๋ยไห่ (Beihai) สาธารณรัฐประชาชนจีน 



เมืองเป๋ยไห่ ตั้งอยู่ในมณฑลกวางสี อดีตเคยเป็นท่าเรือที่สำคัญของจีน แต่ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญและมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าสนใจหลายแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว คือ หาดเงินเป๋ยไห่ (Silver Beach) ที่มีหาดทรายยาวถึง 24 กิโลเมตร ด้วยความที่ทำเลดีเพราะอยู่ใกล้ประเทศเวียดนาม ฮ่องกง และมาเก๊า จึงมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมืองให้เจริญ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว 

เป๋ยไห่ เป็นเมืองที่ถูกคาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะ “โตเร็วที่สุดในโลก” เนื่องจากมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 สูงถึง 10.58% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าภายในปี ค.ศ. 2020 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า เมืองเป๋ยไห่ จะมีประชากรราว 1,250,000 คน จากเดิมที่มีเพียง 306,000 คนในปี ค.ศ. 2006 



หมายเหตุ: จีน ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของทวีปเอเชีย มีพรมแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ โดยรอบ 15 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือ รัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน เคอร์กิชสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย เนปาล สิกขิม ภูฐาน พม่า ลาว และเวียดนาม ขณะที่ทิศตะวันออกและทิศใต้จดทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ 
****************** 

** กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 244 มีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 1.11 % ต่อปี (ส่วนจังหวัดอื่นๆ ของไทยไม่ติด 1 ใน 300 อันดับ) *