วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
การเคหะฯ จัด มหกรรมที่อยู่อาศัย เริ่มต้น 3.9 แสนบาท
การเคหะแห่งชาติ ฉลองครบรอบ 40 ปี จัดมหกรรมขายที่อยู่อาศัย 92 โครงการ ราคาเริ่มต้น 3.9 แสนบาท
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา นางอำภา รุ่งปิติ รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (รักษาการแทนผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี การเคหะแห่งชาติ ได้มีการจัดงานมหกรรมขายที่อยู่อาศัย "40 ปี การเคหะแห่งชาติ คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะฯ" ขึ้นในวันที่ 22-31 มีนาคม 2556 เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัย ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง
โดยมีจำนวน 92 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเอื้ออาทร 17,652 หน่วย และ โครงการเคหะชุมชน 1,890 หน่วย ราคาเริ่มต้นที่ 390,000 บาท วางเงินจองทำสัญญา 3,000 บาท ผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ซึ่งธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เสนอโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ ปีที่ 1-2 = 4.00% ต่อปี ปีที่ 3 ตลอดอายุสัญญา = MRR-0.50% ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้
ส่วนธนาคารออมสิน เสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3 ปี โดยปีที่ 1-3 = 4.00% ต่อปี หลังจากนั้น MLR-0.50% ต่อปี ตลอดสัญญา สำหรับลูกค้าที่ยื่นความจำนงขอใช้บริการระหว่างวันที่ 22-31 มีนาคม และจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2556
สำหรับคุณสมบัติของผู้จองบ้านในโครงการบ้านเอื้ออาทร ต้องมีสัญชาติไทย รายได้ในครอบครัวไม่เกิน 40,000 บาท พร้อมนำเอกสารติดต่อได้ที่สำนักงานเคหะชุมชนและสถานที่ตั้งโครงการทุกแห่งทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nha.co.th
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
กคช.ตัดขายที่ดินบ้านเอื้อฯ 450 ไร่ เสริมรายได้
การเคหะฯ ขนที่ดินเปล่า-ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จาก 11 โครงการบ้านเอื้ออาทรในพื้นที่ปริมณฑล และภูมิภาค รวม 12 แปลง พื้นที่กว่า 450 ไร่ ออกเร่ขายเอกชน หลังทิ้งร้างไม่ได้นำมาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย หลังถูก ครม.สั่งลดจำนวนการก่อสร้างบ้านเอื้อฯ
นางประจำศรี บุณยเนตร รองผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการ รักษาการแทนผู้อำนวยการกองสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) กล่าวว่า ที่ประชุมผู้บริหารระดับสูง กคช. มีมติเห็นชอบแผนการขายที่ดินมากกว่า 5 ไร่ ตามแผนการขายที่ดิน และแผนสำรองการขายที่ดินปี 2556 โดย กคช. เตรียมนำที่ดินแปลงว่าง และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 12 แปลง รวม 450 ไร่ ทั้งในพื้นที่ปริมณฑล และภูมิภาคออกขาย ด้วยวิธีเปิดรับข้อเสนอซื้อจากบริษัทเอกชน และบุคคลทั่วไป ประกอบด้วย ที่ดินเปล่า ของโครงการบ้านเอื้ออาทรขอนแก่น (บ้านไผ่) เนื้อที่ดิน 60-3-85 ไร่ จังหวัดขอนแก่น ที่ดินในเปล่าโครงการเคหะชุมชนเชียงใหม่ (ดอยสะเก็ด) เนื้อที่ดิน 30-1-69 ไร่ โดยที่ดินทั้ง 2 แปลง จะเปิดให้เอกชนยื่น และเปิดซองเสนอราคาในวันที่ 12 กรกฎาคม 2556
นอกจากนี้ ยังมีที่ดินเปล่าในโครงการบ้านเอื้ออาทรกาญจนบุรี เนื้อที่ดิน 31-3-67.7 ไร่ และที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรกาญจนบุรี เนื้อที่ดิน 35-0-0 ไร่ ซึ่งที่ 2 แปลง ตั้งอยู่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยจะเปิดให้ยื่นและเปิดซองเสนอราคา ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2556
ส่วนที่ดินพร้อมอาคารสูง ในโครการบางพลีคอมเพล็กซ์ เนื้อที่ดิน 26-0-45 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ที่ดินเปล่าโครงการเคหะชุมชนนราธิวาส จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ดิน 5-1-50.1 ไร่ และเนื้อที่ดิน 6-1-24.90 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลโคกเคียน-บางนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส จะเปิดให้ยื่นและเปิดซองเสนอราคา ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
นางประจำศรี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้เตรียมนำที่ดินเปล่าของโครงการบ้านเอื้ออาทรตราด (วังกระแจะ) เนื้อที่ดิน 56-1-97.9 ไร่ ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด และที่ดินโครงการบ้านเอื้ออาทรนครสวรรค์ 2 เนื้อที่ดิน 6-3-2 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลวัดไทรย์ อำเภอเมืองนครสวรรค์ ที่ดินเปล่าของโครงการบ้านเอื้ออาทรระยอง (ตะพง) เนื้อที่ดิน 40-0-32 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลตะพง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ที่ดินเปล่าโครงการบ้านเอื้ออาทรระยอง (บ้านฉาง 2) เนื้อที่ดิน 32-2-86.7 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง และที่ดินเปล่าโครงการบ้านเอื้ออาทรนครปฐม (บางแขม) เนื้อที่ดิน 120-2-53 ไร่ ที่ดินตั้งอยู่ตำบลบางแขม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ออกมาเปิดให้ประมูลโดยจะเปิดให้เอกชนยื่นและเปิดซองเสนอราคา ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
ทั้งนี้ สำหรับบริษัทเอกชน หรือบุคคลใดที่มีความสนใจต้องการเข้าร่วมประมูลซื้อที่ดินในข้างต้นสามารถขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับเอกสารการยื่นข้อเสนอซื้อที่ดิน/ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ได้ที่ กองพัฒนาธุรกิจและสินทรัพย์ ฝ่ายบริหารสินทรัพย์และอาคารเช่า อาคาร 1 ชั้น 5 สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
การสร้างเมืองใหม่ ยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของจีน ส่งอิทธิพลต่อโลกในศตวรรษที่ 21

เมื่อไม่นานมานี้ Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อโลกในศตวรรษที่ 21 คือ การสร้างเมืองใหม่ของจีน และการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในสหรัฐอเมริกา
เมื่อจีนตัดสินใจเปิดประเทศก้าวสู่โลกาภิวัตน์ นักลงทุนจากนานาประเทศต่างหลั่งไหลเข้าไปลงทุนจนมีคำกล่าวว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่จีน” ส่งผลให้จีนมีสภาพเป็นดั่งโรงงานของโลกเศรษฐกิจติดปีกทะยานจนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก
ปัจจุบันวงล้อเศรษฐกิจของจีนเริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป จีนจึงไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเหมือนเช่นที่ผ่านมามังกรที่ยิ่งใหญ่อย่างจีนจึงต้องวางแผนเปลี่ยนโฉมรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่ง 1 ในยุทธศาสตร์สำคัญคือ การสร้างเมืองใหม่ โดยถือเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่สำคัญแห่งทศวรรษของจีน
การสร้างเมืองใหม่ของจีนมีความสำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนหลายร้อยล้านคน การสร้างเมืองในรูปแบบใหม่ คือ การผลักดันการพัฒนาความเป็นเมืองอย่างมั่นคง เพื่อยกระดับคุณภาพของความเป็นเมือง ลดช่องว่างระหว่างคนในชนบทและคนเมือง ที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือการสร้างเมืองใหม่จะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่สุดในการก่อให้เกิดการกระตุ้นอำนาจซื้อภายในประเทศ การจ้างงาน เกิดอุปสงค์ และนำมาซึ่งธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านการค้า อสังหาริมทรัพย์ เกษตรกรรม การท่องเที่ยว เทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ ซึ่งจะเป็นพลังผลักดันให้เศรษฐกิจจีนทะยานไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนนับจากนี้เป็นต้นไป
นอกจากนี้จีนถือว่าการสร้างเมืองใหม่ยังเป็นเรื่องของการประกาศความยิ่งใหญ่ของจีนต่อชาวโลก ดังตัวอย่าง การสร้างเมือง “ผู่ตง” สะท้อนถึงปรัชญาของ “เหมา เจ๋อตุง” ที่ว่า “ลมตะวันออกสามารถเอาชนะลมตะวันตก” ทำให้นานาประเทศเห็นว่า แม้แต่เมืองแมนฮัตตันที่ว่าโด่งดัง ก็ยังสู้ “ผู่ตง” ของมังกรจีนไม่ได้ เพราะจีนได้สร้างผู่ตง (Pu Dong) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่ ของนครเซี่ยงไฮ้ ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและธุรกิจของเซี่ยงไฮ้และจีน ซึ่งเดิมทีพื้นที่บริเวณนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวนา โกดังเก็บสินค้า แต่รัฐบาลจีนใช้เวลาไม่ถึง 20 ปีในการเนรมิตให้กลายเป็นเมืองใหม่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจีนระดมทรัพยากรจากทั่วโลก เชิญชวนวิศวกร สถาปนิกชั้นนำของโลกมาช่วยกันสร้างสรรค์ออกแบบอาคารสูงในสไตล์ใหม่ ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม และเชิญบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียงของโลกในด้านต่างๆ ทั้ง สถาบันการเงิน ประกันภัย น้ำมัน ฯลฯ เข้ามาลงทุน มี ระบบสาธารณูปโภค ระบบขนส่งมวลชน ถนน 8 เลน สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ผู่ตงวันนี้จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนแสนยานุภาพของจีนและความทันสมัยทัดเทียมอารยะประเทศ
อย่างไรก็ตาม นโยบายการสร้างเมืองใหม่ของจีน ก็มิใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ที่ผ่านมาเห็นได้ว่าการสร้างเมืองของจีนก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ อาทิ สร้างเสร็จแล้วไม่มีคนอยู่ หรือบางเมืองมีการย้ายคนออกไปแล้วแต่ยังไม่ได้สร้างหรือพัฒนา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะความเป็นเมืองไม่ได้หมายถึงจำนวนประชากร หรือขนาดของพื้นที่เท่านั้น หากยังต้องพัฒนาด้านอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กันด้วย ได้แก่ สิ่งแวดล้อม ธุรกิจ การจ้างงาน โดยเฉพาะการจะทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีงานทำ ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถสั่งการได้ดังเช่นการสร้างเมืองนี่จึงเป็นสิ่งท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากของจีนอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ดี การสร้างเมืองใหม่ในอดีตที่ผ่านมาอาจะเป็นบทเรียนที่ดีต่อจีนในเวลานี้ ดังนั้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ดูเหมือนว่ามังกรจีนจะไม่เน้นเร่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงตัวเลขเท่าใดนัก แต่จะเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างทั่วถึงเป็นแกนหลัก เพื่อนำไปสู่สังคม “เสี่ยวคัง” หรือ “สังคมที่กินดีอยู่ดีอย่างทั่วหน้า” ดังนั้น เราจึงได้เห็นการให้น้ำหนักของการสร้างเมือง เปลี่ยนจากเมืองใหญ่มาสู่การสร้างเมืองในรูปแบบใหม่ เป็นเมืองในชนบทมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก และจะมีอิทธิพลในปี 20 ปีข้างหน้าด้วย
นอกจากนี้ เมืองในรูปแบบใหม่ยังคงดำรงไว้ซึ่งอารยธรรมของสังคมเกษตรกรรม การพัฒนาสู่ความเป็นเมืองในรูปแบบใหม่ ต้องไม่เป็นการทำลาย นโยบาย “3 เกษตร” (ชุมชนเกษตร การเกษตรและเกษตรกร) หากแต่ต้องมีผลต่อการแก้ไขปัญหา “3 เกษตร” เพื่อให้ประชาชนจีนที่เป็นเกษตรกรกว่า 700-800 ล้านคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และการสร้างเมืองใหม่ในทศวรรษนี้จะต้องทำให้เกิดการพัฒนาภาคเกษตรของจีนให้ทันสมัย คือต้องใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การจัดการที่สมัยใหม่ รวมถึงต้องแก้ปัญหากฎหมายที่ดิน เพื่อที่จะเอาที่ที่ทำการเกษตรเข้ามารวมเป็นผืนใหญ่ มาทำภาคเกษตรสมัยใหม่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้รับการท้าทายให้เข้าไปมีบทบาทในการร่วมกับภาครัฐของจีนดำเนินโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมทันสมัยหลายแห่ง ผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่จีนต้องการก็คือความอยู่รอดของประเทศชาติ
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็ทำให้อดที่จะเหลียวดูประเทศไทยของเราไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะไม่มีนโยบายการพัฒนาเมืองไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือเมืองเล็กที่ชัดเจนเช่นประเทศจีน หากในแง่การกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต นอกเหนือจากการพึ่งพาการส่งออก การบริโภคภายในประเทศ การลงทุนต่างประเทศแล้ว เราเลือกที่จะลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกกะโปรเจ็กต์เท่านั้น อย่างล่าสุด โครงการเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างระบบคมนาคมขนส่งทั่วประเทศ ที่ต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร
วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ที่ดินตาบอดคืออะไร
เพื่อนๆ หลายๆ ท่านถามผู้เขียนมาว่าที่ดินตาบอดคืออะไร ตอบแบบความรู้น้อยตามประสาบ้านๆ แบบผู้เขียนก็คือที่ดินที่ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ โดยดูได้จากระวางโฉนดหรือดูจากเอกสารสิทธิ์เป็นหลักถึงแม้ว่าความเป็นจริงนั้นจะมีถนนผ่านหรือถนนอยู่หน้าบ้านหากแต่ในเอกสารสิทธิ์นั้นไม่ใช่ทางสาธารณะก็ถือว่าที่แปลงนั้นเป็นที่ตาบอด และความหมายของทางสาธารณะตามความเข้าใจอันน้อยนิดของผู้เขียนนั้นก็คือที่หรือถนนที่แสดงชัดเจนในเอกสารของกรมที่ดินถึงจะเรียกว่าทางสาธารณะ และทางที่ใช้สัญจรไปมาทุกๆ ครั้งผ่านหน้าบ้าน ข้างบ้านหรืออะไรก็แล้วแต่อาจจะไม่ใช่ทางสาธารณะและอาจจะมีการครอบครองโดยผู้ใดผู้หนึ่งก็เป็นได้เพียงแต่เปิดใช้กันตามอัธยาศัยแบบเอื้อเฝื้อเผื่อแผ่กันตามประสาพี่ๆ น้องๆ กันในหมู่บ้านซึ่งไม่ค่อยจะยึดเขตแดนอะไรเป็นหลักมากมายเพราะคนกันเองทั้งนั้น

ดังนั้นที่หน้าบ้าน ทางข้างบ้านอาจจะไม่ใช่ทางสาธารณะอย่างที่เราเข้าใจกันก็เป็นได้ตราบใดที่ในเอกสารสิทธิ์ไม่เขียนว่าทางสาธารณะ จึงพึงสังวรให้กับหลายๆ ท่านที่จะซื้อที่ดินให้อ้างอิงคำกล่าวจากเอกสารสิทธิ์จะดีที่สุดเพื่อป้องกันอาการหน้าปวดหัวตามมาที่หลัง คงจะปวดหัวพิลึกเมื่อที่ดินที่เราลงทุนลงแรงซื้อไปไม่มีทางเข้าถึงรถไม่สามารถเข้าไปได้ได้แต่เดินแอบๆ ย่องๆ
โดยส่วนใหญ่แล้วที่ดินตาบอดจำพวกนี้มักจะขอซื้อที่ดินจากแปลงข้างๆ เพื่อขอซื้อทางออกไปสู่ถนนสาธารณะ หากมิตรสัมพันธ์ดีก็ไม่ใช่ปัญหาหากแต่หลายครั้งที่พบว่าข้างบ้านเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดีฉวยโอกาสขายที่ส่วนเล็กๆ เพื่อทำถนนในราคามหาโหด

ดังนั้นที่หน้าบ้าน ทางข้างบ้านอาจจะไม่ใช่ทางสาธารณะอย่างที่เราเข้าใจกันก็เป็นได้ตราบใดที่ในเอกสารสิทธิ์ไม่เขียนว่าทางสาธารณะ จึงพึงสังวรให้กับหลายๆ ท่านที่จะซื้อที่ดินให้อ้างอิงคำกล่าวจากเอกสารสิทธิ์จะดีที่สุดเพื่อป้องกันอาการหน้าปวดหัวตามมาที่หลัง คงจะปวดหัวพิลึกเมื่อที่ดินที่เราลงทุนลงแรงซื้อไปไม่มีทางเข้าถึงรถไม่สามารถเข้าไปได้ได้แต่เดินแอบๆ ย่องๆ
โดยส่วนใหญ่แล้วที่ดินตาบอดจำพวกนี้มักจะขอซื้อที่ดินจากแปลงข้างๆ เพื่อขอซื้อทางออกไปสู่ถนนสาธารณะ หากมิตรสัมพันธ์ดีก็ไม่ใช่ปัญหาหากแต่หลายครั้งที่พบว่าข้างบ้านเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดีฉวยโอกาสขายที่ส่วนเล็กๆ เพื่อทำถนนในราคามหาโหด
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
หนี้ 3 ประเภทของประเทศไทย
หนี้ 3 ประเภทของประเทศไทย
"หนี้ หรือ DEBT" เป็นที่น่ากลัวและจำเป็นของนักลงทุน ที่น่ากลัวคือเป็นหนี้แล้วไม่มีเงินจ่าย ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น หนี้มากๆก็จะเป็นหน่วยงานใหญ่ มีเครดิต เป็นหนี้เสียอาจจะถูกฟ้องล้มละลาย ทั้งบริษัทและคนค้ำประกัน ในปี 2540 ก็เกิดมาแล้วคือต้มยำกุ้ง

ปัจจุบันนี้โลกกำลังมีปัญหาเรื่อง "หนี้" มากมายล้นพ้น ถ้าจำแนกหนี้จะมีหนี้อยู่ 3 ระดับใหญ่ๆคือ 1.หนี้ของประเทศที่เรียกว่า "หนี้สาธารณะ" หรือ Public Debt รัฐบาลกู้มามากๆเอามาทำประชานิยมและลงทุน ไม่มีเงินจ่ายคืน เช่น กรีซ ไอร์แลนด์ สเปน กลุ่มประเทศพวกนี้มีหนี้สูงกว่า 2 เท่าของรายได้ต่อปี (ไทย 45% ของ GDP) อเมริกาก่อหนี้ในระดับเกิน 1 เท่า ญี่ปุ่นร่วม 80% ประเทศไม่มีรายได้ ใช้หนี้ไม่ได้ก็จะเป็นหนี้เสียของประเทศ
2.หนี้ของบริษัทห้างร้าน ผู้ประกอบการ เรียกว่า Corporate หรือ Company Debt พ่อค้า นักลงทุน กู้มาลงทุน หนี้เสียเมื่อขาดทุนหรือไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีการกำหนดให้ธนาคารปล่อยกู้ ติดตามลูกหนี้ว่าอยู่เกณฑ์ใด จัดชั้นหนี้ และต้องสำรองทุนเอาไว้ บางครั้งถึง 100% และป้องกันมิให้ล้มละลายไปด้วย ต้มยำกุ้ง หนี้พวกนี้มีมากสูงถึง 50% ของระบบ และสถาบันการเงินก็ล้มละลายไปด้วยหลายธนาคาร
และ 3.หนี้ส่วนบุคคล หรือหนี้ครอบครัวที่เรียกว่า Personal Debt หรือ House-Hold Debt แต่ละบุคคลกู้มาใช้จ่ายหรือลงทุนส่วนตัว เช่น ซื้อบ้าน คอนโดฯ รถยนต์ เป็นต้น หนี้ประเภทนี้โดยธรรมดาแล้วไม่น่ากลัว เพราะกว่าจะกู้ได้สถาบันการเงินและธนาคารได้ตรวจสอบรายได้ และทรัพย์สินค้ำประกันเป็นอย่างดี จะเป็นหนี้เน่า คือเสียจนแก้ไม่ได้ ก็จะริบค้ำประกันมาขายต่อได้กำไรเสียอีก หนี้ชนิดที่น่ากลัวนี้เกิดที่อเมริกาปี 2551 โรคแฮมเบอร์เกอร์(Hamberger) ที่สถาบันการเงิน- ธนาคารปล่อยให้ลูกหนี้ไม่มีคุณภาพ ปล่อยโดยไม่เช็กเครดิตจนกู้เกินตัว เอาไปเก็งกำไรบ้านคนละ 3-4 หลังในอเมริกา พอเศรษฐกิจผันผวนคนอเมริกันชั้นกลางเป็นหนี้เน่ากันร่วม 30% ของระบบ ดึงธนาคารชั้นนำล้มละลายจนทุกวันนี้ เรียกหนี้ว่า Sup Prime Loan
ขณะนี้กำลังเกิดขึ้นในไทยคือ 1.หนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้มาลงทุนและทำประชานิยม เริ่มมากขึ้นทุกที รัฐบาลเพิ่งผ่านกฎหมายเพิ่มกู้ 2 ล้านล้านบาท ส่วนดีก็คือมีเงินหมุนเวียนในระบบการลงทุน คนมีเงินมากขึ้น รายได้สูงขึ้น(แต่เงินเฟ้อ Inflation ก็จะตามมา) คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ประเทศที่มีรายได้ไม่ดี หนี้สาธารณะก็มี เช่น ดูไบ บรูไน มีน้ำมันมากมาย เป็นหนี้มากก็ปั๊มน้ำมันมาใช้หนี้ก็เกินพอ ส่วนอเมริกาซึ่งกำลังทุ่มเงินเข้ามาแก้ปัญหาใช้อีกวิธี คือปั๊มเงินดอลลาร์มาใช้ พอมีหนี้ก็ปั๊มเงินกระดาษตัวเองออกมา ที่ทำได้เพราะเครดิตดี คนทั้งโลกเชื่อดอลลาร์ เงินดอลลาร์จึงเหมือนน้ำมันในประเทศอเมริกา
ส่วนไทยไม่มีสิทธิ์ปั๊มเงินบาทออกมาและไม่มีน้ำมัน ในอดีตพิมพ์เงินออกมาต้องมีทองคำประกันเป็นกฎเกณฑ์ที่อเมริกาเคยตั้งไว้ และบัดนี้อเมริกาก็เลิกแล้ว ปั๊มเงินกระดาษออกมาเป็นว่าเล่นจนทั่วโลกเป็นห่วงว่า "เงินจะท่วมโลก" อยู่แล้ว แล้วเอามาปั่นหุ้นรวมทั้งไทยด้วย
ส่วนที่น่ากลัวของไทย เรื่องที่ 2 คือ "หนี้ส่วนบุคคลและครัวเรือน" ที่กำลังโตเพราะปล่อยกู้บ้านหลังแรก รถคันแรก และ Non-Bank ให้เครดิตซื้ออุปโภคบริโภคด้วยการ์ดพลาสติกกันคนละ 4-5 ใบ ขณะนี้ไม่มีการเช็กเครดิต ไม่มีเครดิตบูโรรูดกันเพลิน หมุนหนี้กันระหว่างบัตรเครดิต เอามาทั้งซื้อบ้าน รถยนต์ คอนโดฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเล่นหุ้น เล่นฟุตบอลกัน ที่น่ากลัวคือถ้าคนไทยกลุ่มนี้เป็นหนี้เสีย "หนี้เน่า" คนในประเทศจะจนลงทันที ไม่มีเครดิต ไม่เพิ่มคุณภาพชีวิตอีกต่อไป เพราะ "กู้เกินตัว" เกิดความโลภเกินเหตุ ความพอเพียงก็จะหายไป ครอบครัวก็จะมีปัญหา
จะทำอย่างไร ต้องเริ่มที่ผู้ปล่อยกู้ ทั้งธนาคารและไม่ใช่ธนาคารต้องมีมาตรการเช็กเครดิต ธปท.เป็นพ่อบ้านด้านการเงินต้องรีบออกมากำกับให้ทันเวลา อย่าปล่อย อย่าประมาทเช่นต้มยำกุ้งในอดีต สุดท้ายสุภาษิตที่ว่า "ความไม่มีหนี้ คือลาภอันประเสริฐ" เศรษฐีทั่วโลกจะไม่มีหนี้ส่วนตัว มักจะปล่อยหนี้ไว้กับบริษัท ถ้าไม่มีน้ำมันก็ต้องพึ่งกรณีมีคนที่มีคุณภาพ ลองคิดดูถ้าคนไทยทุกคนจบปริญญา คน 50% จบปริญญาเอกก็จะเป็นทรัพยากรที่ดีกว่าน้ำมันเสียอีก ขอให้ทุกคนโชคดีปีใหม่ อย่าสร้างหนี้ มีหนี้แล้วต้องใช้ ห้ามเบี้ยวครับ
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
สิทธิ์การถือครองที่ดินในประเทศไทย

สิทธิ์การถือครองที่ดินในประเทศไทย
เอกสารสำคัญทั้งหมดนี้แม้จะแสดงถึงการเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าบุคคลอื่นแล้วก็ ตาม ถ้าเป็นที่ดินที่โฉนดที่ดิน ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 10 ปี และที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ปล่อยทิ้งไว้นานเกิน ๕ ปีติดต่อกัน ที่ดินดังกล่าวจะต้องตกเป็นของรัฐตามกฎหมาย หรือถ้าหากปล่อยให้บุคคลอื่นครอบครองโดยสงบเปิดเผย โดยมีเจตนาเอาเป็นเจ้าของโดยท่านไม่เข้าขัดขวาง สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดินเป็นเวลา ๑๐ ปีติดต่อกันบุคคลที่เข้าครอบครองนั้นก็จะมีสิทธิไปดำเนินคดีทางศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบ ครองได้
และที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ น.ส.๓ ก. น.ส.๓ ข) ใช้เวลาแย่งการครอบครองเพียง ๑ ปีเท่านั้น ท่านก็จะเสียสิทธิ ดังนั้นเมื่อที่ดินของท่านมีเอกสารสำคัญดังกล่าวอยู่แล้ว ก็ควรทำประโยชน์และดูแลรักษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินก็จะเป็นของท่าน และเป็นมรดกที่มีค่าให้แก่ทายาทของท่านต่อไป
2.ส.ป.ก.4-01 หนังสือแสดงสิทธิ์การทำเกษตร ไม่มีสิทธิ์ขายแต่ตกเป็นมรดกลูกหลานได้
3.กสน. หนังสือแสดงสิทธิ์ที่ดินทำกินในเขตนิคมสหกรณ์
4.สทก. หน้งสือแสดงสิทธิ์ที่ดินทำกินในเขตป่าสงวน
5.น.ศ.3 หนังสือให้เข้าใช้ในนิคมสร้างตนเอง
6.ใบเหยียบย้ำ เอกสารครอบครองที่ดินเก่าที่ให้บุคคลเข้าครอบครองบุกเบิกที่ดิน
7.ใบไต่สวน (น.ส.5) หนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อการออกโฉนด
ใบไต่สวน หรือ น.ส.5 คือ ที่ดินนั้นได้มีการนำรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน มิใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เจ้าของที่ดินที่มีใบไต่สวนมีแต่เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ได้ให้ความหมายว่าเป็น หนังสือแสดงการสอบสวนเพื่อออกโฉนดที่ดิน และให้หมายความรวมถึงใบนำด้วย การออกโฉนดที่ดินจะต้องมีการทำใบไต่สวน ก่อนการออกโฉนดที่ดิน เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องทำการเดินสำรวจรังวัด ในการเดินสำรวจนั้นเมื่อเดินสำรวจไปถึงที่ดินของผู้ใดที่มานำรังวัด ผู้ครอบครองที่ดินนั้นจะต้องนำเจ้าพนักงานที่ดินชี้แนวเขตที่ดินของตน ให้ความสะดวกและนำรังวัด เจ้าพนักงานที่ดินจะสอบสวนรายละเอียดเกี่ยวกับเขตที่ดินและสอบสวนว่าผู้ใด เป็นเจ้าของ ได้ที่ดินมาอย่างไร เมื่อใด ใครครอบครองที่ดินอยู่ มีหลักฐานสำหรับที่ดินหรือไม่ เมื่อได้ความว่าใครเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินก็จะใส่ชื่อผู้นั้นและจดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดิน ที่ได้จากการเดินสำรวจรังวัดลงไว้ในใบไต่สวน เพื่อใช้เป็นหลักฐานข้อมูลในการทำโฉนดที่ดิน หลังจากนั้นจะประกาศให้มารับโฉนดที่ดินต่อไป
8.ใบจอง (น.ส.2) หนังสืออนุญาติให้เข้าใช้ที่ดินชั่วคราว
หนังสือ แสดงสิทธิ ที่ทางราชการออกให้เพื่อแสดงความยินยอมให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็น การชั่วคราว ผู้รับใบจองต้องเริ่มทำประโยชน์ในที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน และต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ได้รับใบจอง
9.ส.ค.1 หนังสือแสดงสิทธิ์การครอบครองที่ดินเปล่า
ส.ค.1 (ใบแจ้งการครอบครองที่ดิน) เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ครอบครองเป็นผู้แจ้งว่าตนครอบครองที่ดินแปลงใด อยู่ แต่ส.ค.1นี้ไม่ใช่หนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน เป็นเพียงคำแจ้งความของราษฎรเท่านั้น ที่ดินที่มีส.ค.1จะไม่สามารถขายหรือยกให้ได้ แต่จะโอนกันได้เพียงแสดงเจตนาสละการครอบครองและไม่ยึดถือพร้อมส่งมอบให้ผู้ รับโอนไปเท่านั้นซึ่งผู้ครอบครองคนใหม่สามารถทำใบแจ้งการครอบครองที่ดินฉบับ ใหม่ได้
10.น.ส.3/น.ส.3ก. หนังสือรับรองการเข้าใช้ที่ดิน นำไปใช้ทำนิติกรรมได้
นส.3 (หนังสือรับรองการใช้ประโยชน์) หนังสือรับรองฉบับนี้คล้ายกับหนังสือรับรองข้างต้น เว้นแต่ระเบียบวิธีในการแจ้งสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ก่อนการโอนจะเกิดขึ้นจะต้องมี หนังสือแสดงเจตน์จำนงและจะประกาศแจก นส. 3 มีกำหนด 30 วัน ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงสถานภาพของที่ดินจะมีการจดทะเบียน
นส.3 ก (หนังสือรับรองการทำประโยชน์) หนังสือรับรองการทำฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า บุคคลที่มีรายชื่อปรากฎอยู่ในหนังสือรับรอง เป็นบุคคลทีมีสิทธิถูกต้องในการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือโดยนัย คือ ซึ่งอาจจำหน่ายได้, ให้เช่า, ใช้ประโยชน์ในการจำนอง และอื่นๆ ผู้ถือหนังสือรับรองนี้ มาสามารถปล่อยที่ดินให้รกร้าง โดยไม่ดูแลนานเกินกว่า 12 ปี โฉนดและ นส 3 ก นี้ เป็นเอกสารสิทธิ์ที่แสดงว่าเจ้าของสามารถให้เช่าได้
11.โฉนด/น.ส.4 หนังสือสำคัญแสดงสิทธิ์การถือครองที่ดินอย่างถูกกฏหมาย
โฉนด กรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างสมบูรณ์ โฉนดจะมีการจดทะเบียน ณ กรมที่ดินประจำจังหวัดที่ทรัพย์สินตั้งอยู่และไม่จำเป็นต้องรอการโอน กรรมสิทธิ์ ซึ่งโฉนดที่ดินจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง การแบ่งเขตที่ดินสัมพันธ์กับการตรวจสอบระดับชาติ พร้อมทั้งทำเครื่องหมายโดยการติดตัวเลขเฉพาะลงบนที่ดิน ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของกรมที่ดินที่จะใช้ระบบโฉนดเพื่อครอบคลุมที่ดิน ทั้งหมดในประเทศไทย
โฉนด กรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นอย่างสมบูรณ์ โฉนดจะมีการจดทะเบียน ณ กรมที่ดินประจำจังหวัดที่ทรัพย์สินตั้งอยู่และไม่จำเป็นต้องรอการโอน กรรมสิทธิ์ ซึ่งโฉนดที่ดินจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้อง การแบ่งเขตที่ดินสัมพันธ์กับการตรวจสอบระดับชาติ พร้อมทั้งทำเครื่องหมายโดยการติดตัวเลขเฉพาะลงบนที่ดิน ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของกรมที่ดินที่จะใช้ระบบโฉนดเพื่อครอบคลุมที่ดิน ทั้งหมดในประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ตึกสูงทั่วกรุงเสี่ยงวินาศ!? ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ยิ่งใกล้ไทยยิ่งอันตราย!
แม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นพิกัดศูนย์กลางของเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้ เราได้รับแรงสะเทือนเสียทุกครั้งไป โดยเฉพาะตามตึกสูงระฟ้าในเขตกรุงเทพฯ ที่สร้างความตื่นตระหนกอยู่เนืองๆ ซึ่งสิ่งที่น่าวิตกไปกว่านั้นคือ บรรดาตึกสูงในประเทศเรายังขาดมาตรการรองรับกรณีแผ่นดินไหว และยังมีการเปิดเผยอีกว่า ผืนดินในเมืองหลวงนั้นอ่อนมาก ถ้าเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงตึกสูงทั้งหลายมีความเสี่ยงถล่มแน่นอน
เหตุการณ์แผ่นดินไหว 6.6 ริกเตอร์ ที่ประเทศพม่า (11 พ.ย.) ถือเป็นเหตุครั้งล่าสุด ถึงบ้านเราจะไม่ได้รับแจ้งเหตุรุนแรงเพราะอยู่ห่างไกลหลายร้อยกิโลเมตร แต่ชาวกรุงที่อยู่บนอาคารสูง รวมทั้งชาวบ้านทางภาคเหนือก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือน ส่วนประเทศที่เกิดเหตุนั้นได้รับความสูญเสียอย่างหนัก
อย่าชะล่าใจ เพราะสภาพพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นมีลักษณะเป็นแอ่ง ลักษณะพื้นดินด้านล่างอ่อนเป็นเลน ลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายกับกรุงเม็กซิโก ซิตี ที่ในอดีตเคยได้รับความเสียหายครั้งใหญ่จากแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางออกไปมากกว่า 300 กิโลเมตรราวปี 2528 ซึ่งกลายเป็นบทเรียนที่ผู้เชี่ยวชาญแขนงที่เกี่ยวข้องในไทยร่วมศึกษาหาเพื่อหาแนวทางลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ตึกสูงเสียดฟ้า อัตราเสี่ยงที่มากกว่า
ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว (24 มี.ค. 2554) ก็เคยเกิดกรณีแผ่นดินไหวในประเทศพม่าที่สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวไทยเช่นกัน เพราะแรงสั่นสะเทือนในครั้งนั้นส่งผลให้ตึกรามบ้านช่องของเราเสียหายไปด้วย ซึ่งดูจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมไทยเริ่มตระหนักในภัยพิบัติธรณีวิปโยค
ครั้งนั้นหลังเหตุการณ์สงบ สำนักงานกรุงเทพฯ ก็เร่งตรวจสอบตึกสูงหลายแห่ง ไล่ตั้งแต่ตึกที่รู้จักกันดี อย่างตึกใบหยก, โรงแรมดุสิตธานี, อาคารพาณิชย์ย่านสาทร สีลม ฯลฯ
อย่างที่กล่าวในข้างต้นว่า ในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนพื้นดินอ่อน ฉะนั้น หากเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงตึกสูงๆ ก็เตรียมรับสภาพย่อยยับทุกหย่อมหญ้า ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโครงสร้าง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว กล่าวย้ำว่าเมืองหลวงของเราเป็นพื้นที่เสี่ยง
“ทั้งกรุงเทพฯ แอ่งของกรุงเทพฯ มันคลุมหลายจังหวัด กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนแอ่งดินอ่อน แต่เดิมเป็นทะเลมาก่อน เพราะฉะนั้น มันเป็นพื้นที่ดินอ่อนที่ใหญ่มาก”
ไม่ว่าตึกสูงจะตั้งตระหง่านย่านไหน สีลม, บางรัก, สาทร, พญาไท, ห้วยขวาง, ดอนเมือง ฯลฯ รับรองได้ว่ารับผลกระทบไม่แพ้กัน
ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวอธิบายถึงโครงสร้างของตึกสูงในกรุงเทพฯ ว่า เรื่องมาตรฐานการออกแบบก่อสร้าง จะอาคารพาณิชย์เสียดฟ้า หรือดอนโดฯ หรูหลายสิบชั้น ส่วนมากถูกออกแบบภายใต้มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ แต่อาจติดในเรื่องการต้านแรงแผ่นดินไหว
“ถ้าไม่ได้ออกแบบให้อาคารทนแรงสั่นได้ อาคารก็จะมีทั้งอาคารอ่อนแอ ธรรมดา และแข็งแรงปนกันไป ต่างกัน ถ้าตั้งใจออกแบบให้อาคารนั้นทนแผ่นดินไหวได้ อาคารทุกๆ ตัว ที่ออกแบบอย่างถูกวิธีก็จะทนได้ในระดับหนึ่ง”
แผ่นดินไหวเขย่ากรุงเทพฯ ชั้นใน-ชั้นนอก
ถามว่าตึกสูงในประเทศไทยรองรับความรุนแรงได้แค่ไหน ทางผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวท่านเดิมก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนนัก เพราะต้องดูปัจจัยในการเกิดแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งประกอบด้วย โดยเฉพาะศูนย์กลางที่เกิดเหตุ รวมไปถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ในแต่ละครั้ง
“พื้นดินสั่นสะเทือนถ้าสั่นเบาๆ โครงสร้างมันยังทนได้ ถึงโครงสร้างไม่ได้ออกแบบต้านทานแผ่นดินไหวเลยก็ทนได้ แต่ถ้ามันสั่นแรงขึ้นๆ ค่อนข้างตัวอาคารอ่อนแอ หรือมีจุดอ่อนอยู่เยอะก็จะเสียหายรุนแรง และมันอาจจะพังทลายบางส่วน มันแล้วแต่ความแข็งแรง ความยืดหยุ่น ความเหนียวของตัวโครงสร้าง”
ตามข้อมูลจดหมายข่าว IPRB รศ.ดร.อมร พิมานมาศ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรม โครงสร้างและสะพาน สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ได้อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอันตรายจากเหตุแผ่นดินไหว ได้แก่ 1. พื้นที่นั้นอยู่ใกล้รอยต่อของเปลือกโลก หรือ Ring of Fire หรือรอยเลื่อน ที่มีศักยภาพที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว 2. พื้นที่นั้นตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อนหรือไม่ 3. โครงสร้างของอาคารบ้านเรือนในพื้นที่นั้นออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวหรือเปล่า
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การเกิดแผ่นดินไหวขนาดกลางก็เป็นอันตรายได้ แน่นอนว่าตึกรามบ้านช่องที่ตั้งบนพื้นดินอ่อนในเขตกรุงเทพฯ รวมทั้งปริมณฑล อย่างนทบุรี ปทุมธานี ไปจนถึงสมุทรปราการ และสมุทรสาคร ยิ่งเป็นอาคารบ้านเรือนที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อป้องกันภัยแผ่นดินไหวย่อมได้รับผลอย่างหนัก
ปรับมาตรฐานอาคารรับแรงสะเทือน
อาจเป็นเพราะประเทศไทยยังไม่เคยเผชิญเหตุการณ์แผ่นดินไหวขั้นรุนแรง การก่อสร้างอาคารสูงจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวเท่าที่ควร ดร.เป็นหนึ่งกล่าวว่า เบื้องต้นของการก่อสร้างอาคารในประเทศไทยมี พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ปี 2550 ออกมาบังคับใช้ แต่เนื้อหายังไม่ชัดเจน มาตรฐานที่กำหนดไว้ก็ไม่ทันยุคทันสมัย
2 ปีถัดมา กรมโยธาธิการก็จัดทำข้อกำหนดให้เหมาะสมมากขึ้น สร้างมาตรฐานใหม่แก่อาคารสูงในเขตกรุงเทพฯ และทั่วประเทศเพื่อรองรับป้องกันในเรื่องแผ่นดินไหว
แต่ยอมรับว่า วิศวกรผู้คุมงานก่อสร้างก็ดี หรือเจ้าของโครงการตึกสูงก็ดี ยังไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากนัก เพราะเป็นเรื่องใหม่ และยังต้องปรับตัวกันอีก ดร.เป็นหนึ่งให้ทัศนะว่า ความตื่นตัวมีเพิ่มขึ้นแน่นอน การเสนอข่าวของสื่อมวลชนนั้นมีผลต่อการรับรู้ เกิดการติดตาม และสร้างความเข้าใจ ประชาชนเองมีส่วนกดดันเพื่อเร่งสร้างมาตรฐานใหม่ให้ตึกสูงในเมืองไทย
“มีความตื่นตัวแต่ว่ายังไม่มีแอ็กชันที่ดีพอ อาคารรุ่นใหม่ก็พยายามที่จะออกแบบเป็นเรื่องเป็นราว ทางเราให้การแนะนำเป็นเรื่องเป็นราวไปเหมือนกัน แต่หลายโครงการก็ยังไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ประชาชนต้องทราบเรื่องนี้ก่อน ในหมู่วิศวกรก็มีทั้งคนที่ใส่ใจ และไม่ใส่ใจ ในหมู่ของเจ้าของโครงการหลายเจ้าก็ใส่ใจมากขึ้น บางที่แม้ไม่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยก็ยังเอาจริงเลย”
แม้การออกแบบ หรือแก้ไขโครงสร้างอาคารให้รองรับแรงสั่นไหวของแผ่นดินนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทางเจ้าของโครงการฯ ก็ต้องยอมจ่าย เพราะนั่นหมายถึงสวัสดิภาพขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ
….................
ไม่รู้ว่าโลกของเรากำลังเขาสู่ยุคแห่งภัยพิบัติหรือเปล่า เพราะในช่วงไม่กี่ปีมานี้ธรรมชาติได้มอบบทเรียนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแก่มนุษย์ ถึงเราจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพียงไร แต่ท้ายที่สุดก็คงฝืนธรรมชาติไม่ได้
จะว่าไปภูมิศาสตร์ของประเทศไทยยังถือว่าโชคดีกว่าหลายๆ ประเทศ เพราะไม่ได้ตั้งบริเวณศูนย์กลางการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ผลกระทบก็ถือว่ายังน้อย อย่างไรก็ตาม บรรดาตึกสูงราวกับสร้างขึ้นมาท้าทายปรากฏการณ์ธรรมชาติคงนิ่งนอนใจต่อภัยพิบัติไม่ได้ เร่งสร้างมาตรการป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ เถิด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)