วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ไทยมีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของภูมิภาค

แผนปรองดอง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ไทยมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 กทม. มากสุด 2.9 ล้านคน แต่ขนาดครัวเรือนเล็กสุด

          วันที่ 8 เมษายน นายวิบูลย์ทัต สุทันธนกิตติ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ 
แถลงผลเบื้องต้นสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 พบว่า 
ประเทศไทยมีจำนวนประชากร 65.4 ล้านคน มีจำนวนครัวเรือน 20.3 ล้านครัวเรือน 
ซึ่งจำนวนประชากรของไทยมากเป็นอันดับ 4 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
         
 สำหรับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดตามลำดับ 
ดังนี้

         1. อินโดนีเซียมี 240 ล้านคน 

         2. ฟิลิปปินส์ 92 ล้านคน

         3. เวียดนาม 88 ล้านคน

          4. ไทย 65.4 ล้านคน


          ทั้งนี้ในประเทศไทย ในจำนวน 65.4 ล้านคน มีเพศหญิง 33.3 ล้านคน
 เพศชาย 32.1 ล้านคน และมีสัญชาติไทย 62.1 ล้านคน ไม่มีสัญชาติไทย 3.3 ล้านคน
 นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด 
และมีความหนาแน่นของประชากรสูงสุด แต่กลับมีขนาดครัวเรือนเฉลี่ยเล็กที่สุดอยู่ที่ 2.9 คน

          สำหรับจังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากสุดตามลำดับ
        
          1. กรุงเทพฯ 8.25 ล้านคน
        
          2. นครราชสีมา 2.52 ล้านคน
        
          3. สมุทรปราการ 1.83 ล้านคน
        
          4. อุบลราชธานี 1.74 ล้านคน
        
          5. ขอนแก่น1.74 ล้านคน
        
          6. เชียงใหม่ 1.71 ล้านคน
        
          7. ชลบุรี 1.55 ล้านคน
        
          8. สงขลา 1.48 ล้านคน
        
          9. นครศรีธรรมราช 1.45 ล้านคน
        
          10. นนทบุรี 1.33 ล้านคน
          ทั้งนี้ในประเทศไทย ในจำนวน 65.4 ล้านคน มีเพศหญิง 33.3 ล้านคน 

เพศชาย 32.1 ล้านคน และมีสัญชาติไทย 62.1 ล้านคน ไม่มีสัญชาติไทย 3.3 ล้านคน

 นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากรมากที่สุด

 และมีความหนาแน่นของประชากรสูงสุด แต่กลับมีขนาดครัวเรือนเฉลี่ยเล็กที่สุดอยู่ที่ 2.9 คน         

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รูปแบบการขยายตัวของเมือง

4.3 รูปแบบการขยายตัวของเมือง
             รูปแบบการขยายตัวของเมืองเกิดจากการศึกษาถึงการตั้งถิ่นฐาน     เกี่ยวกับกระบวนการเกิดเป็นเมืองและการขยายตัวของเมือง ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการขยายตัวของเมืองมักเกิดจากอิทธิพลของพัฒนาการด้านการคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งถิ่นฐานที่ต้องการความสะดวกในการเข้าถึง และเป็นศูนย์รวมของกิจกรรม รูปแบบการขยายตัวของเมืองแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
 1 รูปแบบตาตาราง (Grid Pattern)
           
   รูปแบบตาตาราง (Grid Pattern) เป็นรูปแบบการขยายตัวที่มีโครงข่าย ของถนนตาตาราง จะส่งผลทำให้รูปแบบของเมืองถูกแบ่งเป็นบล็อก (Block) อาจเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปแบบการขยายตัวแบบตาตาราง มีดังนี้
  
Conventional Grid เป็นรูปแบบการขยายตัว ที่มีระเบียบแบบแผนอย่างต่อเนื่องออกไป ในทุกทิศทางของเมือง อันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านกายภาพมีน้อย หรือเมืองขยายตัวบนที่ราบ
  
Distend Grid  มีการขยายตัวแบบบิดเบี้ยวไปตามข้อจำกัดของลักษณะภูมิประเทศ แต่ยังคงรูปแบบตาตารางเป็นบล็อก (Block) ไว้ ถึงแม้จะไม่เป็นรูปทรงเรขาคณิตที่แน่นอนก็ตาม
  
Grid Transected เป็นรูปแบบการขยายตัวของชุมชนเมือง บนพื้นที่เดิม โดยมีการตัดถนนผ่าน เข้าสู่ศูนย์กลางเมือง เพื่อความสะดวกในการสัญจร และลดปัญหาด้านการจราจร
  
Super Block  เป็นการขยายตัวบนบล็อกเดิม มักพบในเมืองขนาดใหญ่ ต้องการพื้นที่ต่อเนื่องมากกว่าหนึ่งบล็อก ภายในบล็อกจัดรูปแบบ ให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับกิจกรรม
  
            อย่างไรก็ตามรูปแบบการขยายตัวของเมืองแบบตาตาราง มีข้อดี ได้แก่ ง่ายและสะดวกในการจัดบริการสิ่งอำนวยความสะดวกของชุมชนเมือง และเอื้ออำนวยต่อรูปแบบทางสถาปัตยกรรมในด้านการจัดวางอาคาร อีกทั้งเอื้ออำนวยต่อการขยายตัวในอนาคตได้ดี  แต่ในทางกลับกัน ข้อเสียของระบบตาตารางนี้คือเป็นรูปแบบที่ตายตัว ขาดอิสระในการจัดวาง ทำให้เกิดรูปแบบที่ซ้ำซากจำเจ ตลอดจนมีปัญหาด้านจุดตัดของถนน ซึ่งมีผลต่อระบบการสัญจรของเมืองได้
  
 2 รูปแบบวงแหวน (Concentric Pattern)
                เป็นรูปแบบการขยายตัวของเมือง ที่พัฒนาการ มาจากรูปแบบเมือง ที่เป็นแบบวงแหวนเดิมโดย บริเวณศูนย์กลางเมือง มักมีการกระจุกตัวกัน อย่างหนาแน่น และค่อยๆ ขยายตัวออกไป ในลักษณะของวงแหวน โดยแนวถนน จะแบ่งพื้นที่ของเมืองออกเป็นส่วนๆ รูปแบบ วงแหวนมีการขยายตัว ดังนี้
  
Concentric Highway เป็นรูปแบบการขยายตัว โดยมีการตัดถนนเป็นแนวแกนรัศมีออกจาก ศูนย์กลางเมือง หรือเข้าไปยังศูนย์กลางเมือง เพื่อความสะดวกในการเข้าถึง
  
Circuitous By Pass เป็นรูปแบบการขยายตัว ที่มีการตัดแนวถนนใหม่ในรูปแบบของ ทางเลี่ยงเมือง (By Pass) หรือทางอ้อมเมือง (Circuitous) เพื่อดึงการจราจร ที่ไม่มีกิจกรรมที่ ต้องติดต่อกับศูนย์กลางเมือง ให้ใช้เส้นทางอ้อมออกไป
  
            รูปแบบการขยายตัวของเมืองแบบวงแหวนนี้ นับเป็นรูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่มีการเกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่น บริเวณศูนย์กลางเมือง และจะเบาบางลงในบริเวณที่ถัดออกมา จึงนับเป็นข้อดีสำหรับการจัดแบ่งการใช้ที่ดินให้เป็นสัดส่วน เป็นระบบ และสามารถเชื่อมโยง การใช้ประโยชน์ที่ดินทุกส่วนได้สะดวกรวดเร็ว ด้วยถนนรัศมี แต่ข้อเสียของระบบวงแหวน ได้แก่ ความแออัดคับคั่งของการจราจร ที่มุ่งสู่ศูนย์กลางเพียงอย่างเดียว และทำให้บางครั้งระยะการเดินทางเชื่อมโยง ต้องอ้อมวงแหวนไปทำให้เสียเวลาในการเดินทางเช่นกัน
  
 3 รูปแบบขยายตัวในแนวยาว (Linear Pattern)
                เป็นรูปแบบการขยายตัว ที่มีพัฒนาการมาจาก การตั้งถิ่นฐานตามแนว เส้นทางคมนาคม หรือ เมืองมีที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบ ระหว่างหุบเขา ริมน้ำ ซึ่งการขยายตัว ถูกจำกัดด้วยลักษณะ ทางด้านกายภาพ มีรูปแบบดังนี้
  
Linear and Concentricเป็นรูปแบบการ ขยายตัวของการเชื่อมโยงกลุ่มเมืองขนาดเล็กๆ เข้าด้วยกัน ด้วยเส้นทางเดียว อาจเป็นรูปแบบ กลุ่มเมืองตามแนวชายฝั่งทะเล หรือที่ราบ ระหว่างหุบเขา เป็นต้น
  
Linear and Integrated System Movement เป็นรูปแบบการเชื่อมโยง กลุ่มเมืองเข้าด้วยกัน ด้วยเส้นทางสัญจรหลัก และมีเส้นทางย่อยตัด แยกเข้าสู่กลุ่มเมืองเล็กๆ ที่อยู่ลึกเข้าไปใน แผ่นดิน (Hinterland)
  
            สำหรับรูปแบบการใช้ที่ดินแบบเชิงเส้น นับว่าสามารถเชื่อมโยงชุมชนขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี โดยประชากรจากเมืองเล็กๆ สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลาง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ได้โดยสะดวก แต่มีข้อจำกัดคือรูปแบบการขยายตัวของเมือง ถ้าเมืองมีขนาดใหญ่มากขึ้น ย่อมมีแนวการขยายตัวเชิงเส้นที่ยาวขึ้น ทำให้เกิดปัญหาด้านระยะทางกับการลงทุนพัฒนาด้านบริการพื้นฐาน ที่สิ้นเปลืองมากกว่ารูปแบบเมืองแบบอื่นๆ และทำให้เกิดปัญหาการสัญจรผ่านชุมชน ซึ่งอาจเกิดอันตรายจากความเร็วและปัญหาด้านการจราจรติดขัดของยวดยานได้
  
 รูปแบบดวงดาว (Star Pattern)
                เป็นรูปแบบการขยายตัวของเมือง ที่เมืองเดิมมีบทบาท เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของถนน หลายสาย และมีการตั้งถิ่นฐานไปตามแนวยาว ของถนน (Ribbon) มีรูปแบบการขยายตัวที่ ขยายออกจากศูนย์กลางเมือง ไปในแนวรัศมี (Radius) จากศูนย์กลางเมือง
  
            รูปแบบการขยายตัวดังกล่าว เหมาะกับสภาพภูมิประเทศหลายลักษณะ การใช้ที่ดินเกิดตามแนวถนน ทำให้พื้นที่ส่วนที่เข้าถึงยากบางส่วน ขาดการพัฒนา โดยมากจะจัดให้เป็นพื้นที่สีเขียวของเมือง รูปแบบดังกล่าวมีผลต่อการกระจายตัวเป็นกระจุกๆ โดยเฉพาะบริเวณศูนย์กลางเมือง ข้อจำกัดของรูปแบบการขยายตัวแบบนี้ ได้แก่ปัญหาในการจัดบริการสำหรับชุมชน อันเนื่องมาจากการกระจายตัวนั่นเอง
  
 รูปแบบกลุ่มดาว (Galaxy Pattern)

                เป็นรูปแบบการกระจายตัวของเมืองที่มีการ พัฒนามาจากรูปแบบดวงดาว (Star Pattern) โดยเมื่อเมืองมีขนาดใหญ่ขึ้น จนศูนย์กลางเมือง ที่เดิมมีแห่งเดียว ไม่สามารถให้บริการแก่ชุมชน ที่ขยายไปได้อย่างทั่วถึง อันเนื่องมาจาก ระยะทาง จะทำให้เกิดการพัฒนาตัวของระบบ ชุมชนเมืองในรูปแบบของศูนย์กลาง ระดับท้องถิ่นขึ้น ทำให้การกระจายตัวของชุมชน เมืองมีความหนาแน่นสม่ำเสมอมากกว่าแบบ ดวงดาว และสามารถทำหน้าที่ให้บริการได้ ทั่วถึงพื้นที่

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หลักในการเลือกซื้อบ้าน


 หลักสำคัญ 10 ประการในการเลือกซื้อบ้าน by Happyland4you.com 
                                       
      1. ทำเลที่ตั้ง ทำเลที่ตั้งพึงหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่เป็นเขตล่อแหลมต่อการเวนคืน
 พึงติดตามข่าวสาร
        อาจขอตรวจสอบได้จากหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวข้อง 
นอกจากนี้แล้วยังต้องพิจารณาถึง
      ข้อกำหนดประเภทการใช้ประโยชน์ของที่ดิน เช่นเขตพื้นที่สีเขียวของผังเมืองรวม
 พื้นที่เหล่านี้
       มีข้อกำหนดที่เกี่ยวกับเรื่องที่อยู่อาศัย
 คือห้ามก่อสร้างโรงงานหรือสถานประกอบการบางประเภท ฯลฯ
       ก็เท่ากับว่าได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายเพื่อการอยู่อาศัย
     2. สภาพแวดล้อมของบ้าน นับว่ามีความสำคัญต่อสภาพจิตใจ 
ของผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง
      สภาพแวดล้อมดีหรือไม่ดีจะมีผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยในอนาคต
     3. การจัดวางผังของหมู่บ้านจัดสรร หมู่บ้านจัดสรรที่ดีต้อง
มีการจัดแบ่งประเภทการใช้ประโยชน์
      ของที่ดินได้อย่างถูกต้องตามหลักของการจัดวางผังเมือง 
ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาการเปลี่ยนแปลง
     สภาพของที่อยู่อาศัยไปเป็นอย่างอื่น
     4. ความปลอดภัย ผู้ซื้อบ้านอาจสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ 
จากผู้ที่อยู่อาศัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
      อุบัติเหตุ โจรขโมย และระบบรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน
     5. การคมนาคม เป็นเรื่องความสะดวกรวดเร็วของการเดินทาง 
ตลอดจนศึกษาเส้นทางการคมนาคม
      ในอนาคตด้วย นอกจากนี้ควรเป็นชุมชนที่พัฒนาแล้ว
 อยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาทิ
      โรงเรียน สถานพยาบาล ฯลฯ
     6. ระบบสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปโภคของหมู่บ้านเป็นอย่างไร 
ถนนกว้างแคบเพียงใด
      บริการน้ำบาดาลหรือน้ำประปา 
ระบบระบายน้ำและระบบบำบัดน้ำเสียเป็นอย่างไร
     7. ตัวบ้าน พิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ -แบบบ้าน เนื้อที่ใช้สอย -วัสดุก่อสร้าง
 มีคุณภาพหรือไม่
       การปูพื้น หรือวัสดุอื่น ๆ ฯลฯ -การจัดห้อง เหมาะสมเพียงใด 
สัมพันธ์กันหรือไม่ ทิศทาง ทิศทางลม
     -หลังคา อาจต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ หลังคาไม่ควรเอียงน้อยกว่า 10 องศา
 ทั้งนี้เพื่อป้องกันฝนรั่ว
     ใต้ฝ้าเพดานต้องมีช่องระบายความร้อนมิให้อากาศร้อนระอุใต้หลังคา ฯลฯ
      8. ราคาบ้าน เหมาะสมกับสภาพบ้านและเนื้อที่หรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่
กับประสบการณ์และวิจารณญาณ
      ของผู้ซื้อเองมากน้อยแค่ไหน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสนใจศึกษาเรื่องต่าง 
ๆ อย่าง
      ละเอียดสุขุมรอบคอบเป็นพิเศษ
      9. ความมั่นคงและความเชื่อถือของเจ้าของโครงการ
 ผู้ซื้อควรศึกษาสถานะของเจ้าของโครงการ
      ควบคู่กับการตัดสินใจด้วยว่า บริษัทเจ้าของโครงการมีความมั่นคง 
น่าเชื่อถือเพียงใด
     10. การให้บริการภายในหมู่บ้าน เช่น ตลาด ร้านค้า
 สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทความ ปัจจัย 9 ข้อในการเลือกซื้อคอนโด



บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
เจาะ! ตลาดคอนโด ปัจจัย 9 ข้อเลือกซื้อ
เขียนโดย ไทยรัฐ   
ซิตี้คอนโด...เป็นศัพท์ที่พูดกันติดปากเรียกคอนโดในเมือง ที่จริงควรใช้คำว่า Budget Condo หมายถึง คอนโดราคาประหยัด ไม่เกินห้องละ 3 ล้านบาท...ตารางเมตรละไม่เกิน 5 หมื่นบาท
ผลพวงค่าเงินบาทแข็ง หลายธุรกิจทั้งเล็ก...ใหญ่ทำท่าร่อแร่ แต่ช่วง 3-4 ปีมานี้ ตลาดซิตี้คอนโดมิเนียมกลับเติบโตรวดเร็วสวนกระแส
“ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมฟื้นตัวเร็ว เป็นเพราะน้ำมันแพง คนทำงานในเมืองตัดสินใจหันมาอยู่คอนโดใกล้ที่ทำงาน”
แต่ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยมีปัญหาถูกตรวจสอบ ประวัติไม่ดีลูกค้าก็ขาดความเชื่อมั่น ถึงวันนี้ ต้องยอมรับว่าปัญหาซื้อบ้านไม่ได้บ้าน ซื้อคอนโดไม่ได้คอนโด หรือซื้อแล้วมีปัญหาจิปาถะตามมา...ยังคงมีอยู่
นิตยสารอาคาร&ที่ดิน WEEKLY เล่มล่า แนะเทคนิคก่อนตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมเอาไว้ 9 ข้อ
ข้อแรก...ขนาดพื้นที่ ถ้าคุณให้ความสำคัญมากที่สุด ควรเอาตลับเมตรไปวัดด้วยตัวเอง ตรงตามที่ผู้ขายประกาศไว้หรือไม่ รู้แล้วจะเทียบได้ว่า ราคาขายต่อตารางเมตรเท่าไหร่ ถูกหรือแพงกว่ากันแค่ไหน

ข้อที่สอง...ที่จอดรถ ก็สำคัญ ต้องดูว่า มีที่จอดรถพอกับจำนวนยูนิตทั้งโครงการหรือเปล่า

ข้อที่สาม...การก่อสร้าง ใช้วัสดุก่อสร้างมีความแข็งแรงคงทนเพียงใด ตึกยิ่งสูงจะรับกับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวได้ระดับไหน ที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ วัสดุกั้นผนังห้องมีความหนามากน้อย มีเสียงเล็ดลอดจากเพื่อนข้างห้อง หรือว่าห้องที่อยู่บนหัว เวลาเดินแรงๆ จะมีเสียงดังลงมาหรือเปล่า

ข้อที่สี่...ระบบสาธารณูปโภค ระบบรักษาความปลอดภัย ถือว่ามีความสำคัญมาก กรณีอยู่ชั้นสูงๆ น้ำประปาไหลแรงพอ? ถ้าไฟดับมีไฟฉุกเฉิน? ระบบตรวจควัน? หัวฉีดน้ำ? บันไดหนีไฟมีมาตรฐาน? เก็บขยะ จัด-ส่งจดหมาย มียามรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงดีพอหรือไม่

ข้อที่ห้า...สัญญา ข้อนี้สำคัญมากๆ ปกติผู้ซื้อทั่วไปจะละเลยต่อรายละเอียด เพราะมีเนื้อหามาก และเป็นตัวบทกฎหมายเสียส่วนใหญ่ จะให้ดีควรมีนักกฎหมายคอยให้คำแนะนำถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงจะได้รับหรือเสีย เช่น คอนโดไฟไหม้เสียหายทั้งตึก คุณจะได้รับค่าชดใช้หรือไม่ มากน้อยเพียงใด

ข้อที่หก...ทำเล ผู้ซื้อส่วนใหญ่ลืมคิด ถึงแสงแดดที่ส่องเข้าห้อง บางคนไม่ชอบให้แดดส่องเข้าห้องตอนบ่ายเพราะร้อน หรือบางห้องไม่มีแสงเข้าเลยทั้งเช้าและบ่าย ก็ต้องเลือกให้เหมาะสม

ข้อที่เจ็ด...อายุ? หลายคนอาจสงสัยจะเกี่ยวอะไรกับการซื้อคอนโด เกี่ยวแน่ๆ ถ้าคอนโดที่ตัดสินใจอยู่มีวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคุณมีครอบครัว ต้องการความสงบเงียบ ก็ไม่เหมาะ ต้องมองไกลสักหน่อย จะปรับตัวได้หรือไม่ อย่าลืมว่าคอนโดเป็นแค่ชุมชนเล็กๆ

ข้อที่แปด...ระเบียบเงื่อนไขการอยู่อาศัย ก่อนซื้อต้องรู้ให้ครบทุกข้อ บางแห่งไม่ให้นำหมา แมวเข้ามาเลี้ยง ไม่ให้ทำอาหารใช้เตาแก๊ส ไม่ให้ขนของ หรือต่อเติมห้องในวันเสาร์ อาทิตย์

ข้อที่เก้า...นิติบุคคลอาคารชุด ทุกคอนโดคงเลี่ยงไม่ได้ ต้องรู้ถึงระเบียบ เช่น ค่าส่วนกลางต้องจ่ายเดือนละเท่าไหร่ นิติบุคคลจะเก็บไปเพื่อบริหารจ่ายเป็นค่ายาม ค่าไฟฟ้าทางเดิน ลิฟต์ ซ่อมบำรุง คอนโดบางแห่งราคาถูก แต่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางแพง

หลายคนมีประสบการณ์ฝากมา ไม่ว่าข้อสัญญา เงื่อนไขต่างๆจากใบปลิว หรือสื่อโฆษณาที่เป็นตัวชี้ชวนให้ตัดสินใจซื้อ ผู้ซื้อต้องเก็บไว้ให้ดีๆ เมื่อใดที่ผู้ขายผิดสัญญา จะได้มีหลักฐานฟ้องร้องเอาผิดกับหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค.


วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จับอันดับที่ดินที่ราคาแพงสุดในกทม.

ศูนย์ ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ AREA ของ บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส รายงานผล การสำรวจราคาที่ดินในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ณ ปี 2551 ดังนี้

อันดับ ที่ 1 ราคาที่ดินที่แพงสุดขนาด 4 ไร่ (แปลงสมมติมาตรฐานขนาดกว้าง 40 เมตร ลึก 160 เมตร) บริเวณสยาม พารากอน 800,000 บาท/ตร.ว. อันดับ 2 สีลม 700,000 บาท/ตร.ว. ราคาต่ำกว่าสยามฯเพราะเป็นพื้นที่ที่เหมาะจะพัฒนาเป็นสำนักงานมากกว่าศูนย์ การค้า และศูนย์การค้าให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงกว่า

จัดอันดับที่ดินปี' 52
อันดับ ที่ 3 เยาวราช 650,000 บาท/ตร.ว. ลดลงจากปี 2539 ซึ่งเคยประเมินไว้ถึง 750,000 บาท/ตร.ว. เพราะเป็นย่านการค้าเดิมที่ถดถอยลงในปัจจุบัน

อันดับที่ 4 มี 2 ทำเล คือถนนวิทยุ และถนนสาทร 600,000 บาท/ตร.ว.เท่ากัน อันดับ 6 สุขุมวิท แถวไทม์สแควร์ 500,000 บาท/ตร.ว. เป็นต้น

ใน รอบปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ย 3.5% และคาดว่าปี 2552 นี้ ราคาเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นในอัตราลดลงเหลือ 1.5% ณ สมมติฐานว่า GDP ยังจะเติบโตประมาณ 2.0% ในปี 2552 อย่างไรก็ตามพื้นที่บางบริเวณที่มีรถไฟฟ้าผ่านจะมีราคาเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 10% ในขณะที่พื้นที่ ที่ผังเมืองกำหนดให้ก่อสร้างได้จำกัด กลับมีราคาลดต่ำลงบ้าง

โดยสรุปราคาตลาดของที่ดินในเขต กทม.และทั่วประเทศ มีแนวโน้มชะลอตัวลงจนเกือบไม่มีความเปลี่ยนแปลงในปี 2552 และ มีแนวโน้มว่าราคาที่ดินอาจลดลง เช่น 1.ชายฝั่งทะเลตะวันออก กรณีเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจนโรงงานผลิตเพื่อส่งออกปิดหรือลดคนงาน 2.ชายทะเลต่างๆ หากการท่องเที่ยวของไทยยังจะได้รับผลกระทบทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง 3.สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีความไม่สงบในพื้นที่นี้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น