วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 อันดับเมือง “โตเร็ว” ที่สุดในโลก



สำนักข่าวเทเลกราฟ เผย 10 อันดับ “เมืองโตเร็วที่สุดในโลก” (The world’s fastest growing cities) โดยพิจารณาจากเมืองมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโดยเฉลี่ยต่อปี ในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 สูงที่สุดในโลก (คัดมาจากหนังสือ ไทม์เอาท์’ ส ไกด์ ทู เดอะ เวิลด์’ ส เกรทเทส ซิตี้ส์) 
มาดูกันว่าเมืองไหนในโลกนี้ที่จะมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากร มากที่สุดภายในอีก 10 ปีข้างหน้า 

อันดับที่ 10. เมืองจิตตะกอง (Chittagong) สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ 



จิตตะกอง เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองและเป็นเมืองท่าใหญ่ที่สุดของบังกลาเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองสำคัญทางธุรกิจ เป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติ โรงงานขนาดใหญ่ และ อีโคพาร์ค มีประชากรอาศัยอยู่ราว 4 ล้านคน อัตราความหนาแน่นของประชากรต่อตารางกิโลเมตรอยู่ที่ 15,276 คน และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.29% ต่อปี 



หมายเหตุ: บังกลาเทศ ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ทิศเหนือ ตะวันตก และตะวันออกตอนบนติดกับอินเดีย (มีแนวชายแดนยาวติดต่อกันประมาณ 4,053 กิโลเมตร) ทิศตะวันออกตอนล่างติดพม่า (มีแนวชายแดนยาว 193 กิโลเมตร) ส่วนทางด้านทิศใต้ติดอ่าวเบงกอล มีเมืองหลวงชื่อ “กรุงธากา (Dhaka)” 

อันดับที่ 9. เมืองดาร์ เอส ซาลาม (Dar es Salaam) สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย 



ดาร์ เอส ซาลาม (Dar es Salaam) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดในประเทศแทนซาเนีย ทั้งยังเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของแอฟริกาตะวันออก ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของแทนซาเนีย แม้ว่าปัจจุบันเมืองหลวงของประเทศจะย้ายไปอยู่ที่กรุงโดโดมา (Dodoma) แต่หน่วยงานรัฐบาลหลายแห่งยังคงตั้งอยู่ในเมืองดาร์ เอส ซาลาม 
ปัจจุบัน เมืองดาร์ เอส ซาลาม มีประชากรราว 2.8 ล้านคน และคาดว่าน่าจะเพิ่มเป็น 5.12 ล้านคนในปี ค.ศ. 2020 โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.39% ต่อปี 



หมายเหตุ: สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ประกอบด้วย 2 สาธารณรัฐ คือ แทนกานยิกา (Tanganyika) และแซนซิบาร์ (Zanzibar)… “สาธารณรัฐแทนกานยิกา” ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา อาณาเขตทางด้านเหนือและตะวันออกติดเคนยา ยูกันดา และทะเลสาบวิคตอเรีย ทิศตะวันตกติดกับรวันดา บุรุนดี สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (เดิมคือซาอีร์) และทะเลสาบแทนกานยิกา ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับแซมเบีย มาลาวี และทะเลสาบมาลาวี ทิศใต้ติดโมซัมบิก ด้านทิศเหนือเป็นที่ตั้งของภูเขาคิลิมันจาโร (Kilimanjaro) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงสุดในทวีปแอฟริกา ส่วน “สาธารณรัฐแซนซิบาร์” ประกอบด้วยเกาะแซนซิบาร์ และเกาะเพมบา (Pemba) อยู่ห่างจากชายฝั่งของแทนกานยิกา ประมาณ 40 กิโลเมตร 


** 2 อันดับต่อไปนี้มีอัตราการการเพิ่มขึ้นของประชากรเท่ากัน ** 
อันดับที่ =7. เมืองลากอส (Lagos) สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย 



ลากอส เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปแอฟริกา (รองจากกรุงไคโรของอียิปต์) ทั้งยังเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางด้านธุรกิจ การบิน การพาณิชย์ และอุตสาหกรรมน้ำมัน ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกอีกด้วย ในอดีตลากอสเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศไนจีเรีย แต่เนื่องจากมีขนาดใหญ่มากและมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นเกินไป รัฐบาลไนจีเรียจึงได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุง “อาบูจา” แทน อย่างไรก็ตาม ลากอส ยังคงได้ชื่อว่าเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของโลก เนื่องจากไนจีเรียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดในทวีปแอฟริกา 

ลากอส เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากถึง 15.5 ล้านคน (อยู่ในเขตตัวเมือง 7.9 ล้านคน) และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.44% ต่อปี 



หมายเหตุ: ไนจีเรีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกา ทิศเหนือติดสาธารณรัฐไนเจอร์ ทิศใต้ติดมหาสมุทรแอตแลนติกบริเวณอ่าวกินี ทิศตะวันออกติดสาธารณรัฐแคเมอรูนและสาธารณรัฐชาด ทิศตะวันตกติดสาธารณรัฐเบนิน มีประชากรมากที่สุดในแอฟริกา 

อันดับที่ =7. เมืองฟาริดาบัด (Faridabad) สาธารณรัฐอินเดีย 



ฟาริดาบัด เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงเดลี (Delhi) ถือเป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมของรัฐหรยาณา มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในด้านการผลิตเฮนน่า ทั้งยังเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ โรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ รถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ รองเท้า ตู้เย็น ฯลฯ 
เมืองฟาริดาบัด มีประชากรทั้งสิ้นมากกว่า 1 ล้านคน อัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.44% ต่อปี 



หมายเหตุ: อินเดีย ตั้งอยู่ในเอเชียใต้ ทิศเหนือติดจีน เนปาล และภูฏาน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดปากีสถาน ทิศตะวันออกติดบังกลาเทศ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่า ทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย 
อันดับที่ 6. เมืองบามาโก (Bamako) สาธารณรัฐมาลี 



บามาโก เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศมาลี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนเจอร์ (ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ) ในอดีตเคยเป็นแหล่งผลิตและค้าทองคำให้กับอาณาจักรต่างๆ ที่อยู่รายรอบแม่น้ำไนเจอร์ แต่ปัจจุบันเป็นเมืองท่าริมแม่น้ำ ตลอดจนศูนย์กลางการขนส่งทางเรือและอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งยังเป็นเมืองที่มีผู้คนในชนบทหนีภัยแล้งเข้ามาหางานทำและอาศัยอยู่เป็น จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาหางานทำโดยผิดกฏหมายและลูกจ้างชั่วคราวอีกนับ ไม่ถ้วน ส่งผลให้มีปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย อาทิ ปัญหาด้านการจราจร สุขอนามัย และปัญหาด้านมลภาวะ เป็นต้น 
เมื่อปีที่แล้วมีรายงานว่า ประชากรในเมืองบามาโกมีมากกว่า 1.8 ล้านคน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าปัจจุบันนี้ประชากรในเมืองดังกล่าวมีมากกว่า 2 ล้านคนแล้ว โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.45% ต่อปี 



หมายเหตุ: มาลี ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา ทิศเหนือติดประเทศแอลจีเรีย ทิศตะวันออกติดประเทศไนเจอร์ ทิศตะวันตกติดกับประเทศเซเนกัลและมอริเตเนีย ทิศใต้ติดกับประเทศบูร์กินาฟาโซ โกตดิวัวร์ และกีนี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของแอฟริกาตะวันตก 

อันดับที่ 5. เมืองคาบูล (Kabul) สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน 



กรุงคาบูล เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของอัฟกานิสถาน ตั้งอยู่บนความสูง 5,900 ฟุต (1,800 ม.) เหนือระดับน้ำทะเล ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ ที่ผ่านมา ชาวอัฟกานิสถานต้องเผชิญกับภาวะสงครามอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 ส่งผลให้ประชาชนในชนบทอพยพหนีความอดอยากเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงคาบูลเป็น จำนวนมากตลอด 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่กันอย่างไม่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่ได้จดทะเบียนที่พักอาศัยอย่างถูกต้อง จึงทำให้การสำรวจจำนวนประชากรที่แท้จริงเป็นไปได้ยาก 

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากรุงคาบูลน่าจะมีประชากรอาศัยอยู่ราว 3-4 ล้านคน โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.74% ต่อปี 



หมายเหตุ: อัฟกานิสถาน ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ค่อนไปทางเอเชียกลาง ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทิศเหนือติดทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ทิศตะวันออกและใต้ติดกับปากีสถาน และทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดจีน ทิศตะวันตกติดอิหร่าน 
อันดับที่ 4. เมืองสุรัต (Surat) สาธารณรัฐอินเดีย 



เมืองสุรัต เป็นศูนย์กลางทางด้านการพาณิชย์ของรัฐคุชราต มีชื่อเสียงทางด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเพชร จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งสิ่งทอของอินเดีย (คุณภาพระดับเวิลด์คลาส) และเป็นเมืองหลวงแห่งเพชรของโลก เนื่องจากมีเพชรจำนวนมากถึง 92% ของโลกที่ถูกส่งมาเจียระไนและขัดเงาในเมืองสุรัต 

อย่างไรก็ตาม สุรัตยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลก โดยมีบ้านพักที่ถูกสร้างขึ้นอย่างผิดกฏหมายและสลัมหลายแห่ง ประกอบกับมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงมาก (โดยเฉพาะในหมู่ผู้อพยพ) จึงเชื่อว่าในปีที่ผ่านมา น่าจะมีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองสุรัตมากกว่า 5.4 ล้านคน หรือกว่า 1.6 หมื่นคนต่อตารางกิโลเมตร โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 4.99% ต่อปี 



อันดับที่ 3. เมืองซานอา (Sana’a) สาธารณรัฐเยเมน 



ซานอา เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศเยเมน นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่โตเร็วสุดเป็นอันดับ 3 ของโลกแล้ว ยังเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 2,500 ปี และมีสถาปัตยกรรมโบราณมากมาย อาทิ มัสยิดเก่าแก่ 103 แห่ง และบ้านอีกราว 6,500 หลัง ที่ถูกสร้างขึ้นก่อนศตวรรษที่ 11 (หลายอาคารมีอายุยาวนานกว่า 1,400 ปี) จึงได้ รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) 

เมืองซานอา มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 2 ล้านคน และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 5% ต่อปี 



หมายเหตุ: เยเมน ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ทิศเหนือติดราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และรัฐสุลต่านโอมาน ทิศใต้ติดทะเลอาหรับ ส่วนทิศตะวันตกติดกับทะเลแดง 

อันดับที่ 2. เมืองคาเซียบัด (Ghaziabad) สาธารณรัฐอินเดีย 



คาเซียบัด เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่กำลังเฟื่องฟู ตั้งอยู่ในรัฐอุตระประเทศ ห่างจากกรุงเดลลีเพียง 19 ก.ม. อุตสาหกรรมที่สำคัญของเมืองนี้ คือ การผลิตโบกี้รถไฟ เครื่องยนต์ดีเซล แหวนและลูกสูบรถยนต์ ยารักษาโรค เหล็ก สุรา จักรยาน เครื่องแก้ว ดินเผา น้ำมันพืช สี ฯลฯ ทั้งยังเป็นเมืองที่มีการวางผังและวางแผนก่อสร้างโครงการต่างๆ มาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างถนนหนทาง ห้างสรรพสินค้า ทางยกระดับ และระบบรถไฟใต้ดิน เป็นต้น แต่ก็มีโบราณสถานและหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ (สมัย 2,500 ปีก่อนคริสตกาล) ให้ได้เที่ยวชมและศึกษากัน 

ปัจจุบัน คาเซียบัด มีประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน และมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 5.20% ต่อปี 



อันดับที่ 1. เมืองเป๋ยไห่ (Beihai) สาธารณรัฐประชาชนจีน 



เมืองเป๋ยไห่ ตั้งอยู่ในมณฑลกวางสี อดีตเคยเป็นท่าเรือที่สำคัญของจีน แต่ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญและมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่น่าสนใจหลายแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว คือ หาดเงินเป๋ยไห่ (Silver Beach) ที่มีหาดทรายยาวถึง 24 กิโลเมตร ด้วยความที่ทำเลดีเพราะอยู่ใกล้ประเทศเวียดนาม ฮ่องกง และมาเก๊า จึงมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเมืองให้เจริญ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว 

เป๋ยไห่ เป็นเมืองที่ถูกคาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะ “โตเร็วที่สุดในโลก” เนื่องจากมีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 สูงถึง 10.58% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าภายในปี ค.ศ. 2020 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า เมืองเป๋ยไห่ จะมีประชากรราว 1,250,000 คน จากเดิมที่มีเพียง 306,000 คนในปี ค.ศ. 2006 



หมายเหตุ: จีน ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของทวีปเอเชีย มีพรมแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ โดยรอบ 15 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือ รัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน เคอร์กิชสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย เนปาล สิกขิม ภูฐาน พม่า ลาว และเวียดนาม ขณะที่ทิศตะวันออกและทิศใต้จดทะเลเหลือง ทะเลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ 
****************** 

** กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 244 มีอัตราการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของประชากรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 เท่ากับ 1.11 % ต่อปี (ส่วนจังหวัดอื่นๆ ของไทยไม่ติด 1 ใน 300 อันดับ) *

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 อันดับเมืองค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก 2013

จากรายงานของ Economist Intelligence Unit  ในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุดในโลก มี โตเกียว (Tokyo)  โอซาก้า (Osaka)  ซึ่งไม่น่าแปลกใจอย่างไรมากนัก  เนื่องจากเมืองโตเกียวได้รับตำแหน่งมาแล้วถึง 6 ปี ซ้อน


การจัดอันดับอิงจากปัจจัยค่าครองชีพ ตั้งแต่ราคาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มยันไปถึงอาหารการกิน  ซึ่งสินค้าขนมปัง  ไวน์ และบุหรี่ ราคาแพงขึ้นเห็นได้ชัดเจน  เนื่องจากราคาค่อนข้างผันผวนตามการปรับภาษี/ศุลากรแต่ละปี

รายชื่อเมืองเหล่านี้ถูกคำนวณในจำนวนสินค้าเท่าๆกันตามดัชนี Consumer Price Index ของสหรัฐเมริกา   ซึ่งผลปรากฎว่า  โตเกียว เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด  และประชากรหนาแน่นมากที่สุด  รวมไปถึงยังเป็นอีกเมืองที่สำคัญของโลกอีกด้วย  ราคาเฉลี่ยของขนมปัง 1 แถว ประมาณหนัก 2 ปอนด์  ประมาณ  9.06 เหรียญสหรัฐฯ (270 บาท)  และไวน์ตกอยู่ที่ราคา  15.95 เหรียญฯ (476 บาท)

ขณะที่ ซิดนีย์  (Sydney) และ เมลเบิร์น (Melbourne) กระโดดขึ้นมา 3 และ 4 อันดับ โดยเทียบกับราคารไวน์ขวดเดิมในโตเกียว  มีราคามากกว่า 25 เหรียญฯ    สาเหตอาจจะเป็นเพราะการติดต่อกับทางการค้าและเศรษฐกิจกับจีน  จึงทำให้ดอลล่าร์ออสเตรเลียจึงสูงกว่าดอลล่าร์สหรัฐฯ ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา  ดังนั้นจะไปอาศัยหรือท่องเที่ยวในออสเตรเลียก็ต้องระมัดระวังค่าครองชีพด้วยเช่นกัน

แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ  การากัส  (Caracas) เมืองหลวงของเวเนซุเอลา กระโดดขึ้นมา 25 อันดับจากปีที่แล้ว จนติดอันดับที่ 9   สาเหตุเป็นเพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและอัตราการแลกเปลี่ยนเงินกับดออลล่าร์สหรัฐฯแบบคงที่  ตัวอย่างเช่น  ราคาขนมปัง 1 แถว แพงขึ้น 20% หากเทียบกับปีที่แล้ว  และราคาไวน์สูงขึ้น  13%

จากรายการเผยแนวโน้มให้เห็นว่า ประเทศแถบเอเชียกำลังจะมาแทนที่ประเทศแถบยุโรป ในแง่เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก  ซึ่ง 20 อันดับแรก  มีประเทศในเอเชียถึง  11 เมือง  ส่วนลอสแองเจลลิส (L.A.) และ นิวยอร์ค (NewYork) อยู่อันดับเดียวกันที่ 27

10 อันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด

10. Geneva

9. Caracas

8. Paris

7. Zurich

6. Singapore

5. Melbourne

4. Oslo

3. Sydney

2. Osaka

1. Tokyo





ระบบนิเวศในเมือง

อะไรคือธรรมชาติของความเป็นเมือง

โดย อาทิตย์ ประสาทกุล


มองจากตึกสูงกลางสุขุมวิท เห็นหมอกควันจากไอเสียรถยนต์ หลายคนที่ติดหนึบไม่ขยับอยู่ที่สี่แยกใหญ่ด้านล่าง รู้สึกถึงความร้อนที่ปะทุมาจากรอบตัวได้อย่างดี ทั้งจากคอนกรีตหนาที่อมความร้อนไว้ตั้งแต่เช้า ทั้งจากแสงแดดจ้าจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาอย่างไม่เกรงใจคนในเมืองหลวง เดินลงไปที่ถนนด้านล่าง ผู้คนเดินผ่านกันขวักไขว่ ทั้งจากที่เดินออกมาจากอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานหลายแห่งเพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน จำนวนผู้คนหนาแน่นกระจุกตัวกันทั่วพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร

บัดนี้ จำนวนประชากรของประเทศไทยใน “เมือง” มีจำนวนมากกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ใน “ชนบท” แล้ว  จากหนังสือ “ประเทศไทยควรมีพลเมืองเท่าไรจึงจะดี” ของ ปราโมทย์ ประสาทกุล นักประชากรศาสตร์ของไทยแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า “เมื่อราว 40 ปีก่อน คือในปี 2510 ประเทศไทยมีประชากร 32 ล้านคน ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล [อยู่ในเมือง] ประมาณ 5 ล้านคน ในปัจจุบัน จำนวนรวมประชากรไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 63 ล้านคน แต่ประชากรในเขตเมืองเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่า จาก 5 ล้านเป็นประมาณ 30 กว่าล้านในปัจจุบัน”

ปรากฏการณ์ทางประชากรที่เกิดขึ้น หมายถึงประชากรในชนบทได้ย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยในเมืองเพื่อโอกาสในทางเศรษฐกิจ ทั้งทำการค้าขายหรือทำงานในสำนักงาน หรือชนบทหลายแห่ง เช่นอำเภอที่เคยห่างไกลเพราะการคมนาคมไม่สะดวกได้กลายเป็นชุมชนเมืองขนาดย่อม โดยมีลักษณะของความเป็นเมือง อาทิ ผู้คนอยู่อาศัยกระจุกตัวกัน ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระบบตลาด และใช้บริการระบบสาธารณูปโภคสำหรับคนเมือง (ไฟส่องถนน ระบบระบายน้ำ ระบบประปา เป็นต้น)การกลายเป็นเมือง (urbanization) มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและไม่มีสิ่งชีวิตทั้งหลายอย่างทั่วถึงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ต้นไม้ เห็ด รา แบคทีเรีย หรือสิ่งของที่ไม่มีชีวิต การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลมาจากการกลายเป็นเมืองนี้ มีอาทิ วิถีชีวิตผู้คนต้องเปลี่ยนแปลงไป (จากที่เคยหาผักหาปลามาทำกับข้าวกิน ก็เปลี่ยนเป็นซื้อกับข้าวปรุงสำเร็จจากซุปเปอร์มาร์เก็ต จากที่เคยมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆ นานา ก็อาจจะต้องมาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ห้องเล็กๆ) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนไป (จากที่เคยอาศัยอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก็เป็นความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจ คือเป็นพ่อค้าลูกค้ากัน เป็นต้น)

แม้ว่า “คน” จะเป็นผู้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะคนอย่างเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการกลายเป็นเมือง สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน การที่คนเข้าไปอาศัยอยู่หนาแน่นในพื้นที่หนึ่ง จำเป็นต้องทำให้สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต (เช่น ก้อนหิน ภูเขา น้ำตก ฯลฯ) ที่เคยอยู่มาก่อนจำเป็นต้องหลีกทางให้ หรือหากจะกล่าวให้ถูกก็คือ “ต้องปรับตัว”

สิ่งมีชีวิตพวกที่แข็งแรงก็สามารถปรับตัวให้เข้าอยู่กับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่มีสภาพเป็นเมือง พวกที่อ่อนแอก็จำเป็นต้องสูญหายตายจากไปจากพื้นที่นั้นๆ พวกที่พอมีกำลังอยู่บ้างก็อาจย้ายถิ่นที่อยู่ออกไปอยู่ที่ใกล้เคียงที่ยังพอมีสภาพเดิมดังที่เป็นอยู่ เป็นไปตามทฤษฏีวิวัฒนาการ “ความอยู่รอดของผู้ที่แข็งแรง” (Survival of the fittest) ของชาลส์ ดาร์วิน

ขอให้มองเรื่องข้างต้นว่าเป็นวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และเป็นการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสำหรับสิ่งไม่มีชีวิตจากชนบทกลายเป็นเมือง แม้จะขัดกับความเป็น “ธรรมชาติ” ในความคิดความเชื่อเดิมๆ สำหรับใครหลายคน อยู่บ้าง แต่หากมองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็พอจะทำให้เรามาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักกับนิเวศวิทยาในเมืองในบ้าง

นิเวศวิทยาในเขตเมือง (urban ecology) นั่นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต เช่นตึกรามบ้านช่องด้วย สองสิ่งนี้แยกออกจากกันไม่ได้ ความเป็นเมืองเกิดขึ้นได้เพราะมีสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในสถานที่และสิ่งแวดล้อมเดิมๆ นอกจากนี้ ในหลายครั้ง ความเป็นเมืองก็มาพร้อมกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และชนิดพันธุ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยอยู่มาก่อนด้วย ความสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ “ไม่ได้อยู่นอกเหนือความเป็นระบบนิเวศน์” (unecology) เลยแม้แต่น้อย หากกลับเป็นระบบนิเวศน์แบบใหม่ที่มีการพัฒนาไป

ราว 50 ปีก่อนในทศวรรษ 1960 เจมส์ เลิฟล็อก (James Lovelock) เคยเสนอทฤษฎี “กายของโลก” (Gaia) ซึ่งได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก ในฐานะทฤษฎีทางนิเวศวิทยาใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเห็นพ้องด้วย เขาเห็นว่า “โลก” มีกลไกที่ตอบสนองความเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือชีวมวล (biomass) ทั้งหลาย อาทิ ดิน ต้นไม้ น้ำทะเลในมหาสมุทร และสารเคมีรวมถึงก๊าซในบรรยากาศจะมีกิจกรรมและปฏิกิริยาต่างๆ ทางธรรมชาติเพื่อรักษาสมดุลของโลกไว้ เหมือนดั่งโลกเป็นเหมือนร่างกายมนุษย์ที่มีอวัยวะ เมื่อมีส่วนที่สึกหรอ ระบบภายในก็จะซ่อมแซมส่วนนั้นด้วยตัวของมันเอง หากมองผ่านแว่นตาของเลิฟล็อก ก็พอจะพูดได้ว่ากระบวนการกลายเป็นเมืองนี้คือการวิวัฒน์ของระบบนิเวศน์ที่มีอัตราเร่งสูง โดยการแทรกแซงของมนุษย์ก็พอจะฟังได้การทำความเข้าใจระบบนิเวศน์ในเขตเมืองนอกจากจะเป็นการเปิดมุมมองการมองโลกในอีกมุมหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับ “คนเมือง” ยังจะเป็นหน้าต่างไปสู่แรงบันดาลใจในการทำให้เมืองมีสภาพเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือที่เข้าใจกันทั่วไปว่า “การพัฒนาเมือง” โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า มนุษย์คือผู้สร้างสรรค์เมือง บนพื้นฐานของการแสดงความเคารพต่อสิ่งแวดล้อมที่เคยมีมาก่อน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เมืองเป็นระบบนิเวศวิทยาที่อยู่ได้อย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง

ที่ผ่านมา การกลายเป็นเมืองไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นใหญ่เหนือธรรมชาติดังที่หลายคนเชื่อกัน แม้ว่าในหลายครั้งคนจะทำลายธรรมชาติที่มาอยู่ก่อนอย่างไม่ตั้งใจ แต่การกลายเป็นเมืองได้ทำให้เกิด “ธรรมชาติใหม่” ซึ่งแม้จะมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตลดน้อยลงจากที่เคยมีมาก่อน หรือมีชนิดพันธุ์ใหม่ๆ มารุกรานหรือแทนที่บ้างก็ตาม หากเราทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเราจะสร้างความเป็นเมืองที่มีความเป็นธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น และพอจะทำให้ดีขึ้น บนพื้นฐานและบริบทของความเป็นเมืองได้

น่าสนใจว่า เราควรจะนิยามระบบนิเวศน์ในเมืองเช่นไร คำถามอาทิ การปลูกต้นไม้ใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช้ไม้ท้องถิ่นของไทย (อาทิ ต้นหางนกยูง ฯลฯ) ตลอดแนวถนนในเมืองนั้นพอจะยอมรับได้หรือไม่ การให้อาหารนกพิราบซึ่งเป็นนกต่างถิ่นและนำมาซึ่งโรคและความสกปรก ถือเป็นการส่งเสริมการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์เมืองหรือไม่ ต่างกับการวางผลไม้สุกในสวนเพื่อให้นกปรอดหรือนกอีแพรดซึ่งเป็นนกท้องถิ่นไทยอย่างไร คำถามเหล่านี้น่าจะช่วยให้เราหาคำตอบของระบบนิเวศน์ในเมืองอย่างที่ควรจะเป็นได้สะดวกขึ้น

...คนเดินใต้ต้นไม้เขียวครึ้มคลุมตึก หมาจรจัดคุยขยะหน้าบ้านคหบดี แมวเหมียวคลอดลูกใต้ฝ้าหลังบ้านคน นกกระจอกทำรังที่กล่องจดหมาย นกเอี้ยงเล่นน้ำที่พ่นจากหัวสปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้ แมลงสาบบินว่อนขึ้นจากท่อน้ำทิ้งเห็นปีกวาวสะท้อนกับแสงจากไฟส่องถนนต้นใหญ่ จิ้งจกเกาะกำแพงปูนรอจับแมลงใกล้กับโคมไฟหน้าบ้าน....

เหล่านี้คือระบบนิเวศน์ในเมือง ซึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน และกับสิ่งไม่มีชีวิตในสิ่งแวดล้อมเมือง คนเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์นั้นจึงควรจะทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและถ่องแท้

ระบบนิเวศในเมือง

อะไรคือธรรมชาติของความเป็นเมือง

โดย อาทิตย์ ประสาทกุล


มองจากตึกสูงกลางสุขุมวิท เห็นหมอกควันจากไอเสียรถยนต์ หลายคนที่ติดหนึบไม่ขยับอยู่ที่สี่แยกใหญ่ด้านล่าง รู้สึกถึงความร้อนที่ปะทุมาจากรอบตัวได้อย่างดี ทั้งจากคอนกรีตหนาที่อมความร้อนไว้ตั้งแต่เช้า ทั้งจากแสงแดดจ้าจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาอย่างไม่เกรงใจคนในเมืองหลวง เดินลงไปที่ถนนด้านล่าง ผู้คนเดินผ่านกันขวักไขว่ ทั้งจากที่เดินออกมาจากอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานหลายแห่งเพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน จำนวนผู้คนหนาแน่นกระจุกตัวกันทั่วพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร

บัดนี้ จำนวนประชากรของประเทศไทยใน “เมือง” มีจำนวนมากกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ใน “ชนบท” แล้ว  จากหนังสือ “ประเทศไทยควรมีพลเมืองเท่าไรจึงจะดี” ของ ปราโมทย์ ประสาทกุล นักประชากรศาสตร์ของไทยแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า “เมื่อราว 40 ปีก่อน คือในปี 2510 ประเทศไทยมีประชากร 32 ล้านคน ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล [อยู่ในเมือง] ประมาณ 5 ล้านคน ในปัจจุบัน จำนวนรวมประชากรไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 63 ล้านคน แต่ประชากรในเขตเมืองเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่า จาก 5 ล้านเป็นประมาณ 30 กว่าล้านในปัจจุบัน”

ปรากฏการณ์ทางประชากรที่เกิดขึ้น หมายถึงประชากรในชนบทได้ย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยในเมืองเพื่อโอกาสในทางเศรษฐกิจ ทั้งทำการค้าขายหรือทำงานในสำนักงาน หรือชนบทหลายแห่ง เช่นอำเภอที่เคยห่างไกลเพราะการคมนาคมไม่สะดวกได้กลายเป็นชุมชนเมืองขนาดย่อม โดยมีลักษณะของความเป็นเมือง อาทิ ผู้คนอยู่อาศัยกระจุกตัวกัน ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระบบตลาด และใช้บริการระบบสาธารณูปโภคสำหรับคนเมือง (ไฟส่องถนน ระบบระบายน้ำ ระบบประปา เป็นต้น)การกลายเป็นเมือง (urbanization) มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและไม่มีสิ่งชีวิตทั้งหลายอย่างทั่วถึงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ต้นไม้ เห็ด รา แบคทีเรีย หรือสิ่งของที่ไม่มีชีวิต การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลมาจากการกลายเป็นเมืองนี้ มีอาทิ วิถีชีวิตผู้คนต้องเปลี่ยนแปลงไป (จากที่เคยหาผักหาปลามาทำกับข้าวกิน ก็เปลี่ยนเป็นซื้อกับข้าวปรุงสำเร็จจากซุปเปอร์มาร์เก็ต จากที่เคยมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆ นานา ก็อาจจะต้องมาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ห้องเล็กๆ) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนไป (จากที่เคยอาศัยอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก็เป็นความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจ คือเป็นพ่อค้าลูกค้ากัน เป็นต้น)

แม้ว่า “คน” จะเป็นผู้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะคนอย่างเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการกลายเป็นเมือง สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน การที่คนเข้าไปอาศัยอยู่หนาแน่นในพื้นที่หนึ่ง จำเป็นต้องทำให้สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต (เช่น ก้อนหิน ภูเขา น้ำตก ฯลฯ) ที่เคยอยู่มาก่อนจำเป็นต้องหลีกทางให้ หรือหากจะกล่าวให้ถูกก็คือ “ต้องปรับตัว”

สิ่งมีชีวิตพวกที่แข็งแรงก็สามารถปรับตัวให้เข้าอยู่กับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่มีสภาพเป็นเมือง พวกที่อ่อนแอก็จำเป็นต้องสูญหายตายจากไปจากพื้นที่นั้นๆ พวกที่พอมีกำลังอยู่บ้างก็อาจย้ายถิ่นที่อยู่ออกไปอยู่ที่ใกล้เคียงที่ยังพอมีสภาพเดิมดังที่เป็นอยู่ เป็นไปตามทฤษฏีวิวัฒนาการ “ความอยู่รอดของผู้ที่แข็งแรง” (Survival of the fittest) ของชาลส์ ดาร์วิน

ขอให้มองเรื่องข้างต้นว่าเป็นวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และเป็นการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสำหรับสิ่งไม่มีชีวิตจากชนบทกลายเป็นเมือง แม้จะขัดกับความเป็น “ธรรมชาติ” ในความคิดความเชื่อเดิมๆ สำหรับใครหลายคน อยู่บ้าง แต่หากมองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็พอจะทำให้เรามาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักกับนิเวศวิทยาในเมืองในบ้าง

นิเวศวิทยาในเขตเมือง (urban ecology) นั่นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต เช่นตึกรามบ้านช่องด้วย สองสิ่งนี้แยกออกจากกันไม่ได้ ความเป็นเมืองเกิดขึ้นได้เพราะมีสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในสถานที่และสิ่งแวดล้อมเดิมๆ นอกจากนี้ ในหลายครั้ง ความเป็นเมืองก็มาพร้อมกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และชนิดพันธุ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยอยู่มาก่อนด้วย ความสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ “ไม่ได้อยู่นอกเหนือความเป็นระบบนิเวศน์” (unecology) เลยแม้แต่น้อย หากกลับเป็นระบบนิเวศน์แบบใหม่ที่มีการพัฒนาไป

ราว 50 ปีก่อนในทศวรรษ 1960 เจมส์ เลิฟล็อก (James Lovelock) เคยเสนอทฤษฎี “กายของโลก” (Gaia) ซึ่งได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก ในฐานะทฤษฎีทางนิเวศวิทยาใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเห็นพ้องด้วย เขาเห็นว่า “โลก” มีกลไกที่ตอบสนองความเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือชีวมวล (biomass) ทั้งหลาย อาทิ ดิน ต้นไม้ น้ำทะเลในมหาสมุทร และสารเคมีรวมถึงก๊าซในบรรยากาศจะมีกิจกรรมและปฏิกิริยาต่างๆ ทางธรรมชาติเพื่อรักษาสมดุลของโลกไว้ เหมือนดั่งโลกเป็นเหมือนร่างกายมนุษย์ที่มีอวัยวะ เมื่อมีส่วนที่สึกหรอ ระบบภายในก็จะซ่อมแซมส่วนนั้นด้วยตัวของมันเอง หากมองผ่านแว่นตาของเลิฟล็อก ก็พอจะพูดได้ว่ากระบวนการกลายเป็นเมืองนี้คือการวิวัฒน์ของระบบนิเวศน์ที่มีอัตราเร่งสูง โดยการแทรกแซงของมนุษย์ก็พอจะฟังได้การทำความเข้าใจระบบนิเวศน์ในเขตเมืองนอกจากจะเป็นการเปิดมุมมองการมองโลกในอีกมุมหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับ “คนเมือง” ยังจะเป็นหน้าต่างไปสู่แรงบันดาลใจในการทำให้เมืองมีสภาพเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือที่เข้าใจกันทั่วไปว่า “การพัฒนาเมือง” โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า มนุษย์คือผู้สร้างสรรค์เมือง บนพื้นฐานของการแสดงความเคารพต่อสิ่งแวดล้อมที่เคยมีมาก่อน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เมืองเป็นระบบนิเวศวิทยาที่อยู่ได้อย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง

ที่ผ่านมา การกลายเป็นเมืองไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นใหญ่เหนือธรรมชาติดังที่หลายคนเชื่อกัน แม้ว่าในหลายครั้งคนจะทำลายธรรมชาติที่มาอยู่ก่อนอย่างไม่ตั้งใจ แต่การกลายเป็นเมืองได้ทำให้เกิด “ธรรมชาติใหม่” ซึ่งแม้จะมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตลดน้อยลงจากที่เคยมีมาก่อน หรือมีชนิดพันธุ์ใหม่ๆ มารุกรานหรือแทนที่บ้างก็ตาม หากเราทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเราจะสร้างความเป็นเมืองที่มีความเป็นธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น และพอจะทำให้ดีขึ้น บนพื้นฐานและบริบทของความเป็นเมืองได้

น่าสนใจว่า เราควรจะนิยามระบบนิเวศน์ในเมืองเช่นไร คำถามอาทิ การปลูกต้นไม้ใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช้ไม้ท้องถิ่นของไทย (อาทิ ต้นหางนกยูง ฯลฯ) ตลอดแนวถนนในเมืองนั้นพอจะยอมรับได้หรือไม่ การให้อาหารนกพิราบซึ่งเป็นนกต่างถิ่นและนำมาซึ่งโรคและความสกปรก ถือเป็นการส่งเสริมการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์เมืองหรือไม่ ต่างกับการวางผลไม้สุกในสวนเพื่อให้นกปรอดหรือนกอีแพรดซึ่งเป็นนกท้องถิ่นไทยอย่างไร คำถามเหล่านี้น่าจะช่วยให้เราหาคำตอบของระบบนิเวศน์ในเมืองอย่างที่ควรจะเป็นได้สะดวกขึ้น

...คนเดินใต้ต้นไม้เขียวครึ้มคลุมตึก หมาจรจัดคุยขยะหน้าบ้านคหบดี แมวเหมียวคลอดลูกใต้ฝ้าหลังบ้านคน นกกระจอกทำรังที่กล่องจดหมาย นกเอี้ยงเล่นน้ำที่พ่นจากหัวสปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้ แมลงสาบบินว่อนขึ้นจากท่อน้ำทิ้งเห็นปีกวาวสะท้อนกับแสงจากไฟส่องถนนต้นใหญ่ จิ้งจกเกาะกำแพงปูนรอจับแมลงใกล้กับโคมไฟหน้าบ้าน....

เหล่านี้คือระบบนิเวศน์ในเมือง ซึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน และกับสิ่งไม่มีชีวิตในสิ่งแวดล้อมเมือง คนเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์นั้นจึงควรจะทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและถ่องแท้

นิเวศในเมือง

อะไรคือธรรมชาติของความเป็นเมือง

โดย อาทิตย์ ประสาทกุล


มองจากตึกสูงกลางสุขุมวิท เห็นหมอกควันจากไอเสียรถยนต์ หลายคนที่ติดหนึบไม่ขยับอยู่ที่สี่แยกใหญ่ด้านล่าง รู้สึกถึงความร้อนที่ปะทุมาจากรอบตัวได้อย่างดี ทั้งจากคอนกรีตหนาที่อมความร้อนไว้ตั้งแต่เช้า ทั้งจากแสงแดดจ้าจากดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมาอย่างไม่เกรงใจคนในเมืองหลวง เดินลงไปที่ถนนด้านล่าง ผู้คนเดินผ่านกันขวักไขว่ ทั้งจากที่เดินออกมาจากอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานหลายแห่งเพื่อพักรับประทานอาหารกลางวัน จำนวนผู้คนหนาแน่นกระจุกตัวกันทั่วพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร

บัดนี้ จำนวนประชากรของประเทศไทยใน “เมือง” มีจำนวนมากกว่าประชากรที่อาศัยอยู่ใน “ชนบท” แล้ว  จากหนังสือ “ประเทศไทยควรมีพลเมืองเท่าไรจึงจะดี” ของ ปราโมทย์ ประสาทกุล นักประชากรศาสตร์ของไทยแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า “เมื่อราว 40 ปีก่อน คือในปี 2510 ประเทศไทยมีประชากร 32 ล้านคน ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล [อยู่ในเมือง] ประมาณ 5 ล้านคน ในปัจจุบัน จำนวนรวมประชากรไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเป็น 63 ล้านคน แต่ประชากรในเขตเมืองเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่า จาก 5 ล้านเป็นประมาณ 30 กว่าล้านในปัจจุบัน”

ปรากฏการณ์ทางประชากรที่เกิดขึ้น หมายถึงประชากรในชนบทได้ย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยในเมืองเพื่อโอกาสในทางเศรษฐกิจ ทั้งทำการค้าขายหรือทำงานในสำนักงาน หรือชนบทหลายแห่ง เช่นอำเภอที่เคยห่างไกลเพราะการคมนาคมไม่สะดวกได้กลายเป็นชุมชนเมืองขนาดย่อม โดยมีลักษณะของความเป็นเมือง อาทิ ผู้คนอยู่อาศัยกระจุกตัวกัน ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระบบตลาด และใช้บริการระบบสาธารณูปโภคสำหรับคนเมือง (ไฟส่องถนน ระบบระบายน้ำ ระบบประปา เป็นต้น)การกลายเป็นเมือง (urbanization) มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและไม่มีสิ่งชีวิตทั้งหลายอย่างทั่วถึงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ต้นไม้ เห็ด รา แบคทีเรีย หรือสิ่งของที่ไม่มีชีวิต การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นผลมาจากการกลายเป็นเมืองนี้ มีอาทิ วิถีชีวิตผู้คนต้องเปลี่ยนแปลงไป (จากที่เคยหาผักหาปลามาทำกับข้าวกิน ก็เปลี่ยนเป็นซื้อกับข้าวปรุงสำเร็จจากซุปเปอร์มาร์เก็ต จากที่เคยมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆ นานา ก็อาจจะต้องมาอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์ห้องเล็กๆ) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเปลี่ยนไป (จากที่เคยอาศัยอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ก็เป็นความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจ คือเป็นพ่อค้าลูกค้ากัน เป็นต้น) 

แม้ว่า “คน” จะเป็นผู้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะคนอย่างเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการกลายเป็นเมือง สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน การที่คนเข้าไปอาศัยอยู่หนาแน่นในพื้นที่หนึ่ง จำเป็นต้องทำให้สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต (เช่น ก้อนหิน ภูเขา น้ำตก ฯลฯ) ที่เคยอยู่มาก่อนจำเป็นต้องหลีกทางให้ หรือหากจะกล่าวให้ถูกก็คือ “ต้องปรับตัว”

สิ่งมีชีวิตพวกที่แข็งแรงก็สามารถปรับตัวให้เข้าอยู่กับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่มีสภาพเป็นเมือง พวกที่อ่อนแอก็จำเป็นต้องสูญหายตายจากไปจากพื้นที่นั้นๆ พวกที่พอมีกำลังอยู่บ้างก็อาจย้ายถิ่นที่อยู่ออกไปอยู่ที่ใกล้เคียงที่ยังพอมีสภาพเดิมดังที่เป็นอยู่ เป็นไปตามทฤษฏีวิวัฒนาการ “ความอยู่รอดของผู้ที่แข็งแรง” (Survival of the fittest) ของชาลส์ ดาร์วิน 

ขอให้มองเรื่องข้างต้นว่าเป็นวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และเป็นการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสำหรับสิ่งไม่มีชีวิตจากชนบทกลายเป็นเมือง แม้จะขัดกับความเป็น “ธรรมชาติ” ในความคิดความเชื่อเดิมๆ สำหรับใครหลายคน อยู่บ้าง แต่หากมองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็พอจะทำให้เรามาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักกับนิเวศวิทยาในเมืองในบ้าง 

นิเวศวิทยาในเขตเมือง (urban ecology) นั่นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต เช่นตึกรามบ้านช่องด้วย สองสิ่งนี้แยกออกจากกันไม่ได้ ความเป็นเมืองเกิดขึ้นได้เพราะมีสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในสถานที่และสิ่งแวดล้อมเดิมๆ นอกจากนี้ ในหลายครั้ง ความเป็นเมืองก็มาพร้อมกับสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และชนิดพันธุ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยอยู่มาก่อนด้วย ความสัมพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ “ไม่ได้อยู่นอกเหนือความเป็นระบบนิเวศน์” (unecology) เลยแม้แต่น้อย หากกลับเป็นระบบนิเวศน์แบบใหม่ที่มีการพัฒนาไป

ราว 50 ปีก่อนในทศวรรษ 1960 เจมส์ เลิฟล็อก (James Lovelock) เคยเสนอทฤษฎี “กายของโลก” (Gaia) ซึ่งได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก ในฐานะทฤษฎีทางนิเวศวิทยาใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเห็นพ้องด้วย เขาเห็นว่า “โลก” มีกลไกที่ตอบสนองความเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือชีวมวล (biomass) ทั้งหลาย อาทิ ดิน ต้นไม้ น้ำทะเลในมหาสมุทร และสารเคมีรวมถึงก๊าซในบรรยากาศจะมีกิจกรรมและปฏิกิริยาต่างๆ ทางธรรมชาติเพื่อรักษาสมดุลของโลกไว้ เหมือนดั่งโลกเป็นเหมือนร่างกายมนุษย์ที่มีอวัยวะ เมื่อมีส่วนที่สึกหรอ ระบบภายในก็จะซ่อมแซมส่วนนั้นด้วยตัวของมันเอง หากมองผ่านแว่นตาของเลิฟล็อก ก็พอจะพูดได้ว่ากระบวนการกลายเป็นเมืองนี้คือการวิวัฒน์ของระบบนิเวศน์ที่มีอัตราเร่งสูง โดยการแทรกแซงของมนุษย์ก็พอจะฟังได้การทำความเข้าใจระบบนิเวศน์ในเขตเมืองนอกจากจะเป็นการเปิดมุมมองการมองโลกในอีกมุมหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับ “คนเมือง” ยังจะเป็นหน้าต่างไปสู่แรงบันดาลใจในการทำให้เมืองมีสภาพเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือที่เข้าใจกันทั่วไปว่า “การพัฒนาเมือง” โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า มนุษย์คือผู้สร้างสรรค์เมือง บนพื้นฐานของการแสดงความเคารพต่อสิ่งแวดล้อมที่เคยมีมาก่อน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เมืองเป็นระบบนิเวศวิทยาที่อยู่ได้อย่างยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง

ที่ผ่านมา การกลายเป็นเมืองไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นใหญ่เหนือธรรมชาติดังที่หลายคนเชื่อกัน แม้ว่าในหลายครั้งคนจะทำลายธรรมชาติที่มาอยู่ก่อนอย่างไม่ตั้งใจ แต่การกลายเป็นเมืองได้ทำให้เกิด “ธรรมชาติใหม่” ซึ่งแม้จะมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตลดน้อยลงจากที่เคยมีมาก่อน หรือมีชนิดพันธุ์ใหม่ๆ มารุกรานหรือแทนที่บ้างก็ตาม หากเราทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเราจะสร้างความเป็นเมืองที่มีความเป็นธรรมชาติอย่างที่ควรจะเป็น และพอจะทำให้ดีขึ้น บนพื้นฐานและบริบทของความเป็นเมืองได้

น่าสนใจว่า เราควรจะนิยามระบบนิเวศน์ในเมืองเช่นไร คำถามอาทิ การปลูกต้นไม้ใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช้ไม้ท้องถิ่นของไทย (อาทิ ต้นหางนกยูง ฯลฯ) ตลอดแนวถนนในเมืองนั้นพอจะยอมรับได้หรือไม่ การให้อาหารนกพิราบซึ่งเป็นนกต่างถิ่นและนำมาซึ่งโรคและความสกปรก ถือเป็นการส่งเสริมการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์เมืองหรือไม่ ต่างกับการวางผลไม้สุกในสวนเพื่อให้นกปรอดหรือนกอีแพรดซึ่งเป็นนกท้องถิ่นไทยอย่างไร คำถามเหล่านี้น่าจะช่วยให้เราหาคำตอบของระบบนิเวศน์ในเมืองอย่างที่ควรจะเป็นได้สะดวกขึ้น

...คนเดินใต้ต้นไม้เขียวครึ้มคลุมตึก หมาจรจัดคุยขยะหน้าบ้านคหบดี แมวเหมียวคลอดลูกใต้ฝ้าหลังบ้านคน นกกระจอกทำรังที่กล่องจดหมาย นกเอี้ยงเล่นน้ำที่พ่นจากหัวสปริงเกอร์รดน้ำต้นไม้ แมลงสาบบินว่อนขึ้นจากท่อน้ำทิ้งเห็นปีกวาวสะท้อนกับแสงจากไฟส่องถนนต้นใหญ่ จิ้งจกเกาะกำแพงปูนรอจับแมลงใกล้กับโคมไฟหน้าบ้าน....

เหล่านี้คือระบบนิเวศน์ในเมือง ซึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน และกับสิ่งไม่มีชีวิตในสิ่งแวดล้อมเมือง คนเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์นั้นจึงควรจะทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและถ่องแท้

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความเป็นเมือง

การขยายตัวของชานเมือง เป็นลักษณะของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง เมื่อชานเมืองมีประชากรเคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานหนาแน่นมากขึ้น มีความเจริญทั้งด้านสาธารณูปโภค และอุปโภค สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องชี้ส่วนหนึ่งของลักษณะกระบวนการกลายเป็นเมืองนั่นเองการขยายตัวของเมืองขนาดใหญ่ในหลาย ๆ ประเทศ ทำให้เกิดชุมชนเมืองขึ้นใหม่ในเขตชานเมืองที่อยู่โดยรอบ จนเกิดเป็นชุมชนเมืองที่เรียกว่า มหานคร (Metropolis) ซึ่งเป็นชุมชนเมืองขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยเมืองหลาย ๆ เมือง การเติบโตและการกระจายตัวของพื้นที่ที่เป็นมหานคร จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นพื้นที่เมืองประเภทใหม่ที่เรียกว่า มหานครหลวง (Megalopolis) ที่ประกอบไปด้วยมหานครหลาย ๆ มหานครราชบัณฑิตยสถาน (2524 : 409) อธิบายว่า ความเป็นเมือง หมายถึง กระบวนการที่ชุมชนกลายเป็นเมือง หรือการเคลื่อนย้ายของผู้คนหรือการดำเนินกิจการงานเข้าสู่บริเวณเมืองหรือการขยายตัวของเมืองออกไปทางพื้นที่ การเพิ่มจำนวนประชากร หรือในการดำเนินกิจการงานต่าง ๆ มากขึ้นสถิตย์ นิยมญาติ (2526 : 2) อธิบายว่า ความเป็นเมือง เป็นกระบวนการของ “การกลายสภาพ” (A process of becoming) อย่างหนึ่ง กล่าวคือ เป็นการเปลี่ยนสภาพจากสภาวะที่ไร้ความเป็นเมืองไปสู่สภาวะของความเป็นเมือง หรือไม่ก็เปลี่ยนสภาวะจากการกระจุกที่มีความหนาแน่นมากจูเลียส โกล์ด และวิลเลี่ยม แอล โคล์บ (Gould and Kobb1964 : 739) อธิบายว่า ความเป็นเมืองมีหลายความหมายดังนี้1.ความเป็นเมืองอาจหมายถึงการกระจาย (Diffused) ของอิทธิพลสังคมเมืองไปสู่สังคมชนบท คำว่า “อิทธิพล” ที่ได้กระจายไปนั้นหมายถึงขนบธรรมเนียมและลักษณะ (Trait) ของเมือง2.ความเป็นเมืองหมายถึง ปรากฏการณ์ของลักษณะสังคมเมืองที่เกิดขึ้น หรือลักษณะของสังคมเมืองในแง่ประชากร คำนิยามนี้พบเสมอ ๆ ในหนังสือของสังคมวิทยาชนบท กล่าวคือ การปฏิวัติทางด้านวัฒนธรรมในเขตชนบทได้กลายเป็นวัฒนธรรมแบบสังคมเมือง3.นักประชากรศาสตร์เข้าใจความเป็นเมืองว่าเป็นกระบวนการของประชากรที่มารวมกันอยู่อย่างหนาแน่น มีความหมายสำคัญที่ว่าเป็นกระบวนการหนึ่งของการเคลื่อนไหวจากที่ไม่ใช่สังคมเมืองไปเพื่อให้ดึงความสมบูรณ์ของลักษณะเมืองของประชาชนที่มารวมอยู่อย่างหนาแน่น4.ความเป็นเมือง เป็นกระบวนการของการรวมตัวอยู่อย่างหนาแน่นของประชากรซึ่งในอัตราของประชากรในเมือง ต่อประชากรทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นเจ. จอห์น พาเลน (Palen 1987 : 9) อธิบายว่า ความเป็นเมือง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรของประเทศที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง อันเป็นผลมาจากการที่ประชาชนเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมืองหรือไปตั้งถิ่นฐานอยู่กันหนาแน่นบริเวณใดบริเวณหนึ่งหรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นขบวนการซึ่งชนบทเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นเมืองนั้นเองความเป็นเมือง เป็นกระบวนการทางนิเวศวิทยาอย่างหนึ่งที่มีรูปแบบการใช้ที่ดินที่และการขยายตัวของเมืองแตกต่างกันออกไป รูปแบบของกระบวนการทางนิเวศวิทยาที่นิยมนำมาใช้อธิบายการขยายตัวของความเป็นเมืองมี 4 ทฤษฎีหลักดังนี้ (Wilson and Schulz, 1978 : 42-47)1.ทฤษฎีรูปดาว (Star theory)ริชาร์ด เอ็ม ฮูลด์ (Richard M. Hurd) อธิบายว่า การขยายตัวของเมืองนั้นเกิดมาจากบริเวณศูนย์กลางของเมืองที่เป็นที่รวมของเส้นทางคมนาคมสายหลักของเมือง อิทธิพลของเส้นทางคมนาคมจะมีผลทำให้เมืองขยายตัวออกไปตามเส้นทางรถยนต์ รถใต้ดิน และรถไฟ ประชาชนส่วนใหญ่จะนิยมอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นบริเวณใกล้เคียงกับเส้นทางคมนาคมดังกล่าวในระยะที่สามารถเดินไปถึงได้สะดวก ต่อมาภายในเมืองได้มีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมดีขึ้น ประชาชนภายในเมืองนิยมใช้รถยนต์กันมากขึ้น พื้นที่ว่างที่อยู่ระหว่างเส้นทางคมนาคมก็จะมีประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่กันหนาแน่นมากขึ้น พื้นที่ว่างดังกล่าวก็เชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่เดียวกัน2. ทฤษฎีวงแหวน (Concentric Zone Theory)เออร์เนสต์ ดับบิว. บูร์เกสส์ (Ernest W. Burgess) อธิบายว่า การขยายตัวของเมืองจะมีลักษณะเป็นรูปแบบวงแหวน เป็นรัศมีวงกลมต่อเนื่องจากเขตศูนย์กลาง และแบ่งพื้นที่ของเมืองออกเป็น 5 เขต ดังนี้เขตที่ 1 เป็นเขตศูนย์กลางธุรกิจ (The Central Business District : C.B.D.) ประกอบด้วยร้านค้า ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนต์ โรงแรม ธนาคาร และสำนักงานทางเศรษฐกิจ การปกครอง กฎหมาย เป็นต้น เป็นเขตที่มีคนหนาแน่นเวลากลางวันเพื่อทำธุรกิจและงานตามหน่วยงานต่าง ๆ มีคนจำนวนน้อยที่ตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างถาวร เพราะส่วนใหญ่จะเดินทางไปพักอาศัยอยู่ที่เขตรอบนอกเขตที่ 2 เป็นเขตศูนย์กลางการขนส่ง (The zone in transition) หรือบางครั้งอาจเรียกว่าเป็นเขตขายส่งและอุตสาหกรรมเบา (Wholesale and light manufacturing zone) รวมทั้งเป็นย่านโรงงานอุตสาหกรรมเก่า ๆ เป็นเขตที่มีปัญหาสังคมจำนวนมาก เช่น มีอัตราของการก่ออาชญากรรมสูง เป็นบริเวณของกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำที่อพยพมาจากชนบท พักอาศัยอยู่ในบ้านราคาถูกและทรุดโทรมใกล้ ๆ โรงงานอุตสาหกรรม เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน แต่เมื่อคนกลุ่มนี้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ก็จะย้ายออกไปอยู่ในที่แห่งใหม่ กรรมสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินในเขตนี้จะเป็นของชนชั้นสูงที่ดำเนินกิจการในลักษณะของการให้ผู้อื่นเช่า ผู้พักอาศัยในเขตนี้มีจำนวนน้อยที่มีที่ดินเป็นของตนเองเขตที่ 3 เป็นเขตที่อยู่อาศัยของกรรมกรและผู้ใช้แรงงาน (The zone of workingmens’ homes) ที่ย้ายออกมาจากเขตศูนย์กลางการขนส่ง สภาพที่อยู่อาศัยของคนในเขตนี้จะมีสภาพดีกว่าคนที่อาศัยอยู่ในเขตศูนย์กลางการขนส่ง บ้านเรือนจะปลูกอยู่ในระยะห่างกันไม่ชิดติดกันเหมือนกับสลัม และเมื่อครอบครัวใดมีฐานะดีขึ้นก็จะย้ายออกไปอยู่ในเขตชนชั้นกลางต่อไปเขตที่ 4 เป็นเขตชนชั้นกลาง (The middle class zone) มีที่พักอาศัยประเภทห้องชุด โรงแรม บ้านเดี่ยวสำหรับครอบครัวเดี่ยว ผู้อาศัยอยู่ในเขตนี้ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ พ่อค้า และรวมถึงชนชั้นผู้บริหารระดับกลางเขตที่ 5 เป็นเขตที่พักอาศัยชานเมือง (The commuters’ zone) มีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกในการเดินทางเข้าไปทำงานหรือประกอบธุรกิจในเมือง เขตนี้จะมีทั้งชนชั้นกลางค่อนข้างสูง และชนชั้นสูง ที่เดินทางด้วยรถประจำทางและรถส่วนตัวเข้าไปทำงานเมืองและกลับออกมาพักอาศัยในเขตนี้ 3. ทฤษฎีเสี้ยววงกลม (Sector theory)โฮเมอร์ ฮอยต์ (Homer Hoyt) อธิบายว่า รูปแบบของการขยายตัวของเมืองจะเหมือนกับเสี้ยววงกลมหรือรูปขนมพาย (Pie-shaped) และในแต่ละเมืองจะพบว่า การขยายตัวของเมืองออกไปยังพื้นที่ด้านนอกจะเป็นรูปเสี้ยววงกลมหนึ่งเสี้ยววงกลมหรือมากกว่าหนึ่งเสี้ยววงกลม และการขยายตัวของเมืองจะมีลักษณะดังนี้1.การขยายตัวของเมืองจะขยายออกไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ที่เชื่อมไปยังศูนย์กลางทางการค้าและที่อยู่อาศัยบริเวณอื่น ๆ2.การขยายตัวของเมืองจะขยายออกไปตามพื้นที่สูงและแม่น้ำ ลำคลองในเขตพัฒนาอุตสาหกรรม3.การขยายตัวของเมืองจะขยายออกไปตามที่อยู่อาศัยของชุมชนชั้นสูงของสังคมห้องพักอาศัยราคาสูงมักจะเกิดขึ้นบริเวณย่านธุรกิจใกล้ ๆ กับเขตที่อยู่อาศัยเก่า4.เขตที่อยู่อาศัยค่าเช่าราคาสูง จะตั้งอยู่ติดกับเขตที่อยู่อาศัยค่าเช่าราคาปานกลาง4.ทฤษฎีหลายจุดศูนย์กลาง (Multiple-nuclei theory)ชวนซี่ ดี. แฮร์รีส และเอ็ดวาร์ด แอล. อัลล์แมน (Chauncy D. Harris and Edward L. Ullman) อธิบายว่า การขยายตัวของเมืองเกิดมาจากหลายจุดศูนย์กลาง ไม่ได้เกิดมาจากศูนย์กลางที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียว เพราะในยุคปัจจุบันเมืองอุตสาหกรรม มีการพัฒนาศูนย์กลางด้านธุรกิจ ศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรม และศูนย์กลางด้านที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นจากหลายแห่ง แฮร์รีสและอัลล์แมนได้เสนอแนวความคิดการขยายตัวของเมืองว่าเกิดจากหลายจุดศูนย์กลางมี 4 ประการดังนี้1.ธุรกิจแต่ละประเภท มีความต้องการใช้ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกที่แตกต่างกัน ธุรกิจที่ต้องการใช้ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนกัน จะมารวมตัวอยู่บริเวณที่มีทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้เหมือนกัน เช่น เขตค้าปลีกจะตั้งอยู่ในทำเลที่ลูกค้าสามารถเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าได้ง่ายและสะดวกจากทุกทิศทางของเมือง เขตเมืองท่าจะตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำหรือทะเล เขตอุตสาหกรรมหนักเป็นเขตที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ติดกับเส้นทางคมนาคมขนส่ง เช่น แม่น้ำ ทะเล ถนน หรือใกล้กับเส้นทางรถไฟเพื่อสะดวกในการขนส่ง เป็นต้น2.ธุรกิจที่เหมือนกันมักจะมีการรวมตัวอยู่บริเวณเดียวกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงการค้าจากการเปรียบเทียบและเลือกซื้อสินค้าของลูกค้า เช่น ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จะไปรวมกลุ่มเป็นย่านขายรถยนต์ ทำให้ผู้ซื้อสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติและราคากับผู้ค้ารายอื่น ๆ ได้ง่าย3.การใช้ที่ดินของธุรกิจที่แตกต่างกันทำให้เกิดความขัดแย้งต่อกันและไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เช่น พื้นที่สำหรับอยู่อาศัยไม่สามารถอยู่ในบริเวณเดียวกับเขตอุตสาหกรรม เพราะ พื้นที่สำหรับอยู่อาศัยต้องการความสงบ มีการขนส่งที่ดี และไม่มีปัญหามลภาวะ แต่เขตอุตสาหกรรมเป็นเขตที่มีเสียงดัง มีการขนส่งและใช้ยานพาหนะทั้งวัน และมีปัญหามลภาวะ4.บริเวณที่มีราคาที่ดินสูงมากเป็นอุปสรรคทำให้ธุรกิจบางประเภทไม่สามารถเข้าไปทำธุรกิจได้ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าที่ดินในราคาแพงทำให้ไม่คุ้มกับการลงทุนและผลกำไรที่ได้รับ นักลงทุนจึงต้องหาทำเลที่ตั้งแหล่งใหม่ที่เหมาะสมกับธุรกิจของที่จะดำเนินการสรุปได้ว่า ความเป็นเมือง เป็นกระบวนการที่ประชากรมาอยู่รวมกันมากขึ้น ทั้งด้านจำนวน และความหนาแน่น ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง อันเป็นผลทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรเหล่านั้นเปลี่ยนไปสู่วิถีชีวิตแบบเมือง


วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 อันดับ สิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลก

New Yankee Stadium , United States
อันดับที่ 10 New Yankee Stadium
New Yankee Stadium ประเทศ United States ราคา 1300 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2009
Wembley Stadium , United Kingdom
อันดับที่ 9 Wembley Stadium
Wembley Stadium ประเทศ United Kingdom ราคา 1,570 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2007
Space Shuttle , United States
อันดับที่ 8 Space Shuttle
Space Shuttle ประเทศ United States ราคา 1,700 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1977
Taipei 101 , Taiwan
อันดับที่ 7 Taipei 101
Taipei 101 ใน Taiwan ราคา 1,800 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2004
B-2 Spirit Stealth Bomber , United States
อันดับที่ 6 B-2 Spirit Stealth Bomber
B-2 Spirit Stealth Bomber ประเทศ United States ราคา 2,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1988
USS Jimmy Carter , United States
อันดับที่ 5 USS Jimmy Carter
USS Jimmy Carter ประเทศ United States ราคา 3,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2004
Rivercity Motorway , Australia
อันดับที่ 4 Rivercity Motorway
Rivercity Motorway ประเทศ Australia ราคา 3,200 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2010
Oosterscheldekering , Netherlands
อันดับที่ 3 Oosterscheldekering
Oosterscheldekering ประเทศ Netherlands ราคา 3,750 ล้านเหรียญ เสร็จใน 1986
Queen Elizabeth class aircraft carrier , United Kingdom
อันดับที่ 2 Queen Elizabeth class aircraft carrier
Queen Elizabeth class aircraft carrier ประเทศ United Kingdom ราคา 3,900 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2014
Burj Dubai , United Arab Emirates
อันดับที่ 1 Burj Dubai
Burj Dubai ประเทศ United Arab Emirates ราคา 4,100 ล้านเหรียญ เสร็จใน 2009
 ………………………………………………………….
10 อันดับ สิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลก 

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ชุมชนชนบทกับชุมชนเมืองแตกต่างกันมาก

ชุมชนชนบท เป็นชุมชนที่ประกอบด้วยประชากรและครอบครัวที่ประกอบอาชีพการเกษตร ส่วนอาชีพอื่น ๆ
 มีน้อยกว่าอาชีพเกษตรกรรมเป็นชุมชนของเกษตรกรขนาดเล็ก ๆ แต่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการประกอบอาชีพ
เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดตามธรรมชาติและมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม 
ความเป็นอยู่ของประชาชนมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติโดยตรง
มีประชากรอยู่มากแต่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายอยู่แบบชุมชนเล็กๆ
เป็นเขตนอกเมือหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม 
สภาพความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ชาวชนบทที่อยู่ในท้องถิ่นเดียวกันฉันท์มีความผูกพันฉันท์พี่น้อง 
 สังคมชนบทมีลักษณะเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ( ครอบครัวขยาย ) สมาชิกในครอบครัวมักช่วย
กันทำงานเพื่อผลิตอาหาร ชาวชนบททำงานเป็นฤดูกาลมีความผูกพันกับศาสนา
 ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีศาสนาอย่างเคร่งครัด วัดเป็นศูนย์กลางรวมจิตใจของชาวชนบท 
รวมทั้งใช้ประกอบกิจกรรม พิธีกรรมต่างๆ และใช้ด้านการศึกษา
ชุมชนเมือง
ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม การค้าพาณิชยกรรม นักวิชาการ  
การปกครองและอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ใช่เกษตรกรรม
เป็นบริเวณที่มีประชากรอาศัยอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก เป็นศูนย์กลางของความเจริญต่างๆ 
การคมนาคมสะดวก ประชาชนประกอบอาชีพหลากหลาย ความสัมพันธ์ของคนในสังคมเมืองเป็น
ไปอย่างมีระเบียบแบบแผน โดยมากมักจะติดต่อกันด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ความจริงใจที่มีต่อกันน้อยมาก
 ความสัมพันธ์ของชาวเมืองมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มต่างๆ
        สังคมเมืองมีลักษณะเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ( ครอบครัวเดี่ยว ) 
สมาชิกในครอบครัวมักจะประกอบอาชีพแตกต่างกัน วัดเป็นเพียงแหล่งประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น 
ไม่ได้เป็นศูนย์รวมจิตใจเหมือนกับสังคมชนบทพฤติกรรมของชาวเมืองจะยึดกฎหมายเป็นหลัก 
เศรษฐกิจในสังคมเมืองจะมีความยุ่งยากมาก
                      
เป็นภาพพื้นบ้านที่อาศัยแบบอยู่ตามธรรมชาติที่ไม่ต้องการอะไรมากมาย
และก็อยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง
เป็นภาพที่คนที่อยู่ในเมืองจะต้องใช้เวลาให้ประโยชน์ให้คุ้มค่าเพราะคิดว่าเวลานั้นมีค่าอยู่ตลอดเวลา